ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant คืออะไร?
ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือที่นักลงทุนในตลาดหุ้นนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Warrant เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ “สิทธิ” แต่ไม่ใช่ “หน้าที่ผูกพัน” แก่ผู้ถือ ในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทในอนาคต ที่ราคาและจำนวนหุ้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้า และภายในระยะเวลาที่จำกัด กล่าวง่าย ๆ ก็คือ คุณสามารถซื้อ “ตั๋วสิทธิ” ตัวหนึ่ง แล้วเก็บไว้ก่อน รอจังหวะที่เหมาะสม ถ้าหุ้นอ้างอิงมีแนวโน้มจะพุ่งขึ้น คุณก็สามารถใช้สิทธินี้เพื่อซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดในเวลานั้น แต่หากหุ้นไม่เป็นไปตามคาด ก็เพียงแค่ปล่อยให้ตั๋วนั้นหมดอายุไป ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเพิ่มเติม ต่างจากหุ้นทั่วไปที่ต้องจ่ายเต็มจำนวนทันทีและต้องรับความผันผวนทั้งหมด การออก Warrant มักมีจุดประสงค์หลายประการ เช่น เป็นของแถมเพื่อดึงดูดการลงทุนในหุ้นเพิ่มทุน หรือเป็นเครื่องมือเก็งกำไรสำหรับนักลงทุนที่ต้องการใช้โอกาสจากความผันผวนของราคาหุ้น

รู้จัก 2 ประเภทหลักของใบสำคัญแสดงสิทธิ
ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ใบสำคัญแสดงสิทธิสามารถแบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ซึ่งมีทั้งจุดร่วมและข้อแตกต่างที่ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจน โดยเฉพาะในแง่ของผู้ออก วัตถุประสงค์ และผลกระทบต่อโครงสร้างทุนของบริษัท การแยกแยะประเภทของ Warrant จะช่วยให้นักลงทุนมองเห็นภาพรวมของความเสี่ยงและโอกาสได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัท (Company Warrant)
Company Warrant เป็นประเภทที่บริษัทจดทะเบียนออกให้โดยตรง โดยมักเกิดขึ้นควบคู่กับการเพิ่มทุนหรือการเสนอขายหุ้น IPO (Initial Public Offering) หรือ RO (Right Offering) เพื่อจูงใจนักลงทุนให้เข้าร่วมระดุนทุน หรือให้เป็นสิทธิพิเศษกับผู้ถือหุ้นเดิม ความสำคัญอย่างหนึ่งของ Warrant ประเภทนี้คือเมื่อมีการใช้สิทธิ บริษัทจะต้องออกหุ้นใหม่เพื่อมอบให้กับผู้ใช้สิทธิ ทำให้จำนวนหุ้นจดทะเบียนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Dilution Effect” หรือการถูกราดเจือกำไรต่อหุ้น (Earnings Per Share) และลดสัดส่วนการถือหุ้นของผู้ถือเดิมลง ซึ่งนักลงทุนระยะยาวควรจับตาดู อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัทเอง การออก Warrant ก็เป็นวิธีระดมทุนในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเพิ่มภาระดอกเบี้ยเหมือนการออกพันธบัตร
ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrant – DW)
อีกประเภทหนึ่งที่พบเห็นบ่อยในตลาดคือ Derivative Warrant หรือ DW ซึ่งไม่ได้ออกโดยบริษัทเจ้าของหุ้น แต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกโดยสถาบันการเงิน เช่น บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ จุดประสงค์หลักของ DW คือการเปิดช่องทางให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรจากทิศทางของราคาหุ้น ดัชนี หรือสินทรัพย์อ้างอิงอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ DW แบ่งเป็นสองประเภทหลัก คือ Call DW สำหรับผู้คาดการณ์ว่าราคาจะขึ้น และ Put DW สำหรับผู้คาดว่าราคาจะลง สิ่งที่ต่างจาก Company Warrant อย่างชัดเจนคือ การใช้สิทธิของ DW มักจะไม่เกี่ยวข้องกับการส่งมอบหุ้นจริง แต่เป็นการชำระส่วนต่างเป็นเงินสด (Cash Settlement) ทำให้ไม่ส่งผลต่อจำนวนหุ้นในตลาด จึงไม่ก่อให้เกิด Dilution Effect สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

คำศัพท์และองค์ประกอบสำคัญที่ต้องรู้เกี่ยวกับ Warrant
การลงทุนใน Warrant ต้องอาศัยความเข้าใจในรายละเอียดพื้นฐานที่ปรากฏในเอกสารกำกับสิทธิ แต่ละตัวมีลักษณะเฉพาะที่กำหนดมูลค่าและโอกาสในการทำกำไร การรู้จักคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนวิเคราะห์ความคุ้มค่า และวางแผนการใช้สิทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ราคาใช้สิทธิ (Exercise Price / Strike Price): คือราคาที่คุณสามารถใช้สิทธิเพื่อซื้อหุ้นอ้างอิงได้ เช่น หาก Warrant ระบุราคาใช้สิทธิ 20 บาท แม้หุ้นแม่จะซื้อขายที่ 25 บาทในตลาด คุณก็ยังสามารถซื้อได้ในราคา 20 บาท
- อัตราการใช้สิทธิ (Exercise Ratio): ระบุว่าจะต้องใช้ Warrant กี่หน่วยถึงจะแลกหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น เช่น อัตรา 2:1 หมายถึง ใช้ Warrant 2 หน่วย แลกหุ้น 1 หุ้น อัตรานี้มีผลต่อต้นทุนจริงและอัตราทดโดยตรง
- วันซื้อขายวันสุดท้าย (Last Trading Date): วันสุดท้ายที่คุณสามารถซื้อขาย Warrant บนกระดานได้ หลังจากนี้จะไม่มีการซื้อขายอีก ผู้ถือต้องตัดสินใจใช้สิทธิหรือปล่อยให้หมดอายุ
- วันหมดอายุ (Expiration Date): วันที่สิทธิในการใช้ Warrant สิ้นสุดลง ถ้าไม่ใช้สิทธิภายในวันนี้ มูลค่าจะลดลงเป็นศูนย์ทันที
- สถานะของ Warrant: บ่งบอกถึงความน่าสนใจในการใช้สิทธิในปัจจุบัน
- In-the-money (ITM): สำหรับ Call Warrant คือเมื่อราคาหุ้นแม่สูงกว่าราคาใช้สิทธิ ถือว่าคุ้มค่าที่จะใช้สิทธิ
- At-the-money (ATM): ราคาหุ้นแม่เท่ากับราคาใช้สิทธิพอดี
- Out-of-the-money (OTM): ราคาหุ้นแม่ต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ ทำให้การใช้สิทธิไม่คุ้ม เพราะซื้อจากตลาดโดยตรงถูกกว่า
ข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงของการลงทุนใน Warrant
Warrant เป็นเครื่องมือทางการเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงในเวลาสั้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม ความเข้าใจทั้งด้านบวกและด้านลบจะช่วยให้นักลงทุนประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้สอดคล้องกับกลยุทธ์การลงทุนและรับความเสี่ยงของตนเองหรือไม่
ข้อดีที่น่าสนใจ
- อัตราทดสูง (Gearing/Leverage): ด้วยราคาของ Warrant ที่มักต่ำกว่าหุ้นแม่หลายเท่า นักลงทุนจึงสามารถควบคุมมูลค่าหุ้นจำนวนมากด้วยเงินลงทุนน้อย หากหุ้นอ้างอิงขยับไปในทิศทางที่คาด ผลตอบแทนในรูปแบบเปอร์เซ็นต์อาจพุ่งสูงกว่าการซื้อหุ้นโดยตรงหลายเท่า ทำให้ Warrant เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเก็งกำไร
- ความเสี่ยงจำกัด (Limited Risk): ความสูญเสียสูงสุดคือเงินที่ใช้ซื้อ Warrant ไปทั้งหมด ไม่ว่าหุ้นแม่จะร่วงแรงแค่ไหน คุณไม่ต้องรับภาระเพิ่ม ไม่มี Margin Call หรือหนี้สินตามมา ซึ่งต่างจากสินค้าเลเวอเรจบางประเภทที่อาจทำให้ขาดทุนเกินทุน
ข้อเสียและความเสี่ยงที่ต้องระวัง
- มูลค่าลดลงตามเวลา (Time Decay): Warrant คือสินทรัพย์ที่ “หมดอายุ” ยิ่งใกล้วันหมดอายุ มูลค่าในส่วนของเวลา (Time Value) ก็ยิ่งลดลงเรื่อย ๆ แม้ราคาหุ้นแม่จะไม่ขยับ นี่คือต้นทุนที่มองไม่เห็น แต่กินกำไรของผู้ถืออย่างเงียบ ๆ ทุกวัน
- ความเสี่ยงหมดค่า (Risk of Becoming Worthless): หากเมื่อถึงวันหมดอายุ หุ้นแม่ยังอยู่ในสถานะ OTM Warrant นั้นจะไม่มีมูลค่า นักลงทุนจะสูญเงินทั้งก้อนที่ลงทุนไป ไม่สามารถกู้คืนได้
- ความผันผวนสูง (High Volatility): ด้วยอัตราทด ราคา Warrant มักเคลื่อนไหวรุนแรงกว่าหุ้นแม่มาก อาจให้ผลตอบแทนเร็ว แต่ก็อาจหายไปในพริบตา นักลงทุนที่ขาดความรู้หรือการวางแผนอาจเผชิญกับผลขาดทุนหนักโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ควรศึกษาข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และพิจารณาความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตด้วย

ตัวอย่างการคำนวณและประเมินมูลค่า Warrant เบื้องต้น
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนเกี่ยวกับการตัดสินใจใช้สิทธิ ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณต้นทุนและประเมินความคุ้มค่า
สมมติว่า บริษัท ABC ออก Warrant รหัส ABC-W1 ด้วยข้อมูลดังนี้:
- ราคาหุ้นแม่ (ABC): 15 บาท
- ราคา Warrant (ABC-W1): 5 บาท
- ราคาใช้สิทธิ: 11 บาท
- อัตราการใช้สิทธิ: 1:1
หากคุณต้องการได้หุ้น ABC จำนวน 1 หุ้นผ่าน Warrant ต้นทุนรวมจะเท่ากับ:
ต้นทุนรวม = ราคา Warrant + ราคาใช้สิทธิ = 5 + 11 = 16 บาท
เมื่อเปรียบเทียบกับการซื้อหุ้นแม่โดยตรงที่ราคา 15 บาท ต้นทุนจากการใช้ Warrant สูงกว่า 1 บาท ความแตกต่างนี้เรียกว่า “พรีเมียม” ซึ่งสะท้อนความคาดหวังของตลาดว่าหุ้นแม่จะขึ้นไปเหนือ 16 บาทก่อนหมดอายุ ดังนั้น หากคุณเชื่อว่าราคาจะวิ่งไปถึง 18-20 บาทในอีกไม่กี่สัปดาห์ การถือ Warrant ยังคงมีเหตุผล แต่ถ้าไม่มีแนวโน้มขึ้น ก็ควรพิจารณาปล่อยให้หมดอายุ
มุมมองบริษัทผู้ออก: การบันทึกบัญชีใบสำคัญแสดงสิทธิ
ในมุมมองของบริษัทที่ออก Warrant โดยเฉพาะ Company Warrant การบันทึกบัญชีถือเป็นส่วนสำคัญที่ส่งผลต่อโครงสร้างทางการเงิน เมื่อบริษัทออก Warrant ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้ซื้อหุ้นเพิ่มทุน จะมีการบันทึกในส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Equity) โดยแยกเป็นรายการเฉพาะ เช่น “ทุนสำรองจากการออกใบสำคัญแสดงสิทธิ” เมื่อถึงเวลาที่มีผู้ใช้สิทธิ บริษัทจะได้รับเงินสดจากผู้ใช้สิทธิที่ราคาใช้สิทธิ เช่น 11 บาทต่อหุ้น แล้วบันทึกเป็นทุนจดทะเบียนเพิ่มเติม (Paid-up Capital) และส่วนเกินมูลค่าหุ้น (Share Premium) ซึ่งกระบวนการนี้ช่วยให้บริษัทเพิ่มทุนโดยไม่ต้องพึ่งพาแหล่งกู้ยืม และยังกระตุ้นความสนใจของนักลงทุนในระยะยาว นักลงทุนที่ต้องการเข้าใจลึกขึ้นสามารถศึกษาเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ของ บริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำ ที่มีข้อมูลเชิงลึกและกรณีศึกษาจริง
สรุปและข้อคิดสำหรับนักลงทุน
Warrant คือตราสารทางการเงินที่ให้โอกาสในการทำกำไรสูง ด้วยอัตราทดที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความซับซ้อนและความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม มันไม่ใช่แค่ “ตั๋วซื้อหุ้นถูก” แต่คือเครื่องมือเก็งกำไรที่ต้องใช้ความรู้ วินัย และการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ นักลงทุนควรเข้าใจว่า Warrant มีอายุจำกัด และเวลาเป็นศัตรูของมูลค่า จึงควรติดตามสถานการณ์ของหุ้นแม่ ประเมินแนวโน้มราคา วันหมดอายุ และอัตราทดอย่างต่อเนื่อง ผลิตภัณฑ์นี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ สามารถรับความผันผวนได้ และมีแผนการบริหารความเสี่ยงที่ชัดเจน สำหรับนักลงทุนรายย่อยที่ต้องการเริ่มต้น แนะนำให้ทดลองในสัดส่วนเล็กน้อย และเลือกจากบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น Moneta Markets ซึ่งเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ให้บริการ DW คุณภาพสูงในตลาดไทย โดยมีข้อมูลการเปิดเผยอย่างโปร่งใสและแพลตฟอร์มการซื้อขายที่เสถียร ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงโอกาสในตลาดได้อย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Warrant หรือ ใบสำคัญแสดงสิทธิ คืออะไร?
ใบสำคัญแสดงสิทธิ หรือ Warrant คือตราสารที่ให้ “สิทธิ” แก่ผู้ถือในการซื้อหุ้นสามัญในอนาคต ตามราคา (ราคาใช้สิทธิ) และอัตราส่วนที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ภายในระยะเวลาจำกัด มันไม่ใช่ภาระผูกพัน หากผู้ถือเห็นว่าไม่คุ้มค่าก็สามารถปล่อยให้หมดอายุไปได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สิทธิ
ใบสำคัญแสดงสิทธิที่ออกโดยบริษัท (Company Warrant) และใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) แตกต่างกันอย่างไร?
ข้อแตกต่างหลักคือผู้ออกและผลกระทบต่อจำนวนหุ้น Company Warrant ออกโดยบริษัทเจ้าของหุ้นโดยตรง เมื่อมีการใช้สิทธิจะเกิดหุ้นใหม่เพิ่มขึ้น (Dilution Effect) ส่วน DW ออกโดยบุคคลที่สาม (เช่น บริษัทหลักทรัพย์) และการใช้สิทธิมักเป็นการชำระส่วนต่างเป็นเงินสด ไม่ทำให้จำนวนหุ้นในตลาดเปลี่ยนแปลง
การลงทุนใน Warrant มีข้อดีและข้อเสียที่สำคัญอะไรบ้าง?
- ข้อดี: ใช้อัตราทด (Leverage) ทำให้ใช้เงินลงทุนน้อยแต่มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงเป็นเปอร์เซ็นต์ และจำกัดผลขาดทุนสูงสุดแค่เงินลงทุนที่จ่ายไป
- ข้อเสีย: มีมูลค่าลดลงตามเวลา (Time Decay) มีความเสี่ยงที่จะหมดค่ากลายเป็นศูนย์หากราคาหุ้นแม่ไม่ไปในทิศทางที่คาดการณ์ และมีความผันผวนของราคาสูงมาก
หากไม่ใช้สิทธิในใบสำคัญแสดงสิทธิก่อนวันหมดอายุ จะเกิดอะไรขึ้น?
หากผู้ถือไม่ทำการใช้สิทธิภายในระยะเวลาที่กำหนด เมื่อถึงวันหมดอายุ (Expiration Date) ใบสำคัญแสดงสิทธินั้นจะสิ้นสุดสภาพและมีมูลค่ากลายเป็นศูนย์ทันที นักลงทุนจะสูญเสียเงินทั้งหมดที่ใช้ซื้อ Warrant นั้นมา
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรใช้สิทธิ Warrant หรือไม่?
โดยหลักการเบื้องต้น ให้คำนวณ “ต้นทุนรวมในการได้หุ้น” ซึ่งเท่ากับ ราคา Warrant บนกระดาน + ราคาใช้สิทธิ แล้วนำไปเปรียบเทียบกับ “ราคาหุ้นแม่บนกระดาน” หากต้นทุนรวมต่ำกว่าราคาหุ้นแม่ การใช้สิทธิก็จะมีความคุ้มค่า แต่หากต้นทุนรวมสูงกว่า การซื้อหุ้นแม่โดยตรงจากตลาดอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
“อัตราทด” (Leverage) ของ Warrant หมายความว่าอย่างไร?
อัตราทด หมายถึง การที่ราคาของ Warrant เปลี่ยนแปลงในอัตราที่เป็นเปอร์เซ็นต์สูงกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นแม่ ตัวอย่างเช่น หากหุ้นแม่ราคาขึ้น 5% ราคา Warrant อาจจะขึ้นถึง 20% หรือมากกว่า ทำให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยใช้เงินลงทุนน้อยกว่า
ทำไมมูลค่าของ Warrant ถึงลดลงเมื่อเวลาผ่านไป?
เนื่องจาก Warrant มีอายุจำกัด มูลค่าของมันส่วนหนึ่งมาจาก “เวลา” ที่เหลืออยู่ให้นักลงทุนได้ลุ้นว่าราคาหุ้นแม่จะวิ่งไปถึงเป้าหมาย ยิ่งเวลาผ่านไป โอกาสนั้นก็ยิ่งน้อยลง มูลค่าในส่วนของเวลา (Time Value) จึงค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ จนเป็นศูนย์ในวันหมดอายุ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Time Decay
คำว่า “Warrant” ในภาษาอังกฤษมีความหมายเดียวกับ “ใบสำคัญแสดงสิทธิ” ใช่หรือไม่?
ใช่ คำว่า “Warrant” เป็นศัพท์ภาษาอังกฤษที่ใช้เรียกตราสารประเภทนี้ในระดับสากล และในประเทศไทยก็ใช้คำว่า “ใบสำคัญแสดงสิทธิ” เป็นคำแปลอย่างเป็นทางการ ซึ่งมีความหมายเดียวกันและใช้แทนกันได้