สเปรด หุ้น คือ หัวใจสำคัญของการเทรดที่คุณต้องรู้เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร

สเปรด (Spread) คืออะไร? หัวใจสำคัญของการเทรดที่คุณต้องรู้เพื่อเพิ่มโอกาสทำกำไร

ในโลกของการลงทุนและการเทรด ไม่ว่าจะเป็นตลาดฟอเร็กซ์ ตลาดหุ้น หรือแม้แต่สินทรัพย์ดิจิทัล มีแนวคิดพื้นฐานอย่างหนึ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่กลับถูกมองข้ามบ่อยครั้ง นั่นคือ สเปรด (Spread) หากเปรียบการลงทุนเป็นการเดินทาง สเปรดก็คือ “ค่าผ่านทาง” ที่คุณต้องจ่ายในทุกครั้งที่ก้าวเดิน การทำความเข้าใจสเปรดไม่เพียงช่วยให้คุณรับรู้ถึงต้นทุนที่แท้จริงของการทำธุรกรรม แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้คุณไม่เพียงแต่เข้าสู่ตลาดได้ แต่ยังสามารถ “อยู่รอด” และ “เติบโต” ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

บทความนี้จะนำพาคุณดำดิ่งลงไปในแก่นแท้ของสเปรด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐาน ไปจนถึงประเภทต่างๆ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมัน รวมถึงกลยุทธ์อันชาญฉลาดในการบริหารจัดการ เพื่อให้คุณสามารถลดต้นทุน เพิ่มโอกาสในการทำกำไร และก้าวขึ้นเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างมั่นคง มาเริ่มต้นการเรียนรู้ที่สำคัญนี้ไปพร้อมกัน!

ชายคนหนึ่งกำลังวิเคราะห์กราฟและสเปรดในสำนักงานที่สว่างสดใส

ทำความเข้าใจสเปรด: ความแตกต่างระหว่าง Bid และ Ask ราคาที่คุณต้องเจอ

ในทุกการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นหุ้น, คู่สกุลเงินฟอเร็กซ์, ทองคำ, น้ำมัน หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซี คุณจะพบราคาอยู่สองฝั่งเสมอ นั่นคือ ราคาเสนอซื้อ (Bid Price) และ ราคาเสนอขาย (Ask Price) หรือที่เรียกว่า ราคาเสนอขาย (Offer Price)

  • ราคา Bid (บิด): คือราคาสูงสุดที่ผู้ซื้อยินดีที่จะจ่ายสำหรับสินทรัพย์นั้นๆ ณ ขณะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือราคาที่คุณจะสามารถ “ขาย” สินทรัพย์ออกไปได้ในทันที
  • ราคา Ask (แอสค์): คือราคาต่ำสุดที่ผู้ขายยินดีที่จะรับสำหรับการขายสินทรัพย์นั้นๆ ณ ขณะนั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือราคาที่คุณจะสามารถ “ซื้อ” สินทรัพย์เข้ามาได้ในทันที

แล้ว สเปรด คืออะไร? สเปรดก็คือ ส่วนต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid (Ask Price – Bid Price) นั่นเองครับ นี่คือ “ค่าใช้จ่าย” ที่โบรกเกอร์หรือผู้ให้บริการตลาดเรียกเก็บ เพื่อเป็นค่าอำนวยความสะดวกในการจับคู่คำสั่งซื้อขายของคุณ เหมือนกับที่ร้านค้าปลีกซื้อสินค้ามาในราคาหนึ่งและขายในอีกราคาหนึ่งเพื่อทำกำไรนั่นเอง คุณจะสังเกตได้ว่า ราคา Ask มักจะสูงกว่าราคา Bid เสมอ และช่องว่างนี้คือสเปรด

ลองนึกภาพตามง่ายๆ หากคุณต้องการซื้อคู่สกุลเงิน EUR/USD โบรกเกอร์อาจแสดงราคา Bid ที่ 1.10500 และราคา Ask ที่ 1.10505 นั่นหมายความว่า ถ้าคุณต้องการซื้อ (Buy) คุณต้องจ่ายที่ราคา 1.10505 แต่ถ้าคุณต้องการขาย (Sell) คุณจะได้รับเงินที่ราคา 1.10500 ส่วนต่าง 0.00005 หรือ 5 Pips นี่แหละคือสเปรด

การแสดงภาพที่เห็นของราคาสินทรัพย์ในการเทรด

ความสำคัญของสเปรดในตลาดการเงิน: ต้นทุนและตัวชี้วัดสภาพคล่อง

สเปรดไม่ได้เป็นเพียงแค่ตัวเลขที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอการเทรด แต่เป็นองค์ประกอบที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่งในโลกของการลงทุน เพราะมันสะท้อนถึงหลายมิติของตลาด และมีผลกระทบโดยตรงต่อผลกำไรขาดทุนของคุณ

  1. ต้นทุนในการทำธุรกรรม (Transaction Cost): นี่คือความสำคัญอันดับแรกที่นักเทรดทุกคนต้องตระหนัก สเปรดคือต้นทุนที่คุณต้องแบกรับทันทีที่เปิดคำสั่งซื้อขาย สมมติว่าคุณซื้อคู่เงิน EUR/USD ที่ราคา Ask 1.10505 และสเปรดคือ 5 Pips ทันทีที่คุณเปิดตำแหน่ง คุณจะติดลบทันที 5 Pips เพราะหากคุณต้องการปิดตำแหน่งในวินาทีนั้น คุณจะต้องปิดที่ราคา Bid ซึ่งคือ 1.10500 นั่นเอง การเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์จะต้องผ่าน “จุดคุ้มทุน” ที่ครอบคลุมสเปรดนี้ไปก่อน คุณจึงจะเริ่มทำกำไรได้
  2. แหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์: สำหรับโบรกเกอร์ สเปรดคือแหล่งรายได้หลักที่สำคัญ สเปรดที่แคบลงหมายถึงกำไรของโบรกเกอร์ที่น้อยลงต่อการเทรดหนึ่งครั้ง และสเปรดที่กว้างขึ้นหมายถึงกำไรที่มากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมโบรกเกอร์ต่างๆ จึงมีสเปรดที่ไม่เท่ากัน โดยบางโบรกเกอร์อาจมี “สเปรดดิบ” (Raw Spread) ที่แคบมาก แต่จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหาก ในขณะที่บางโบรกเกอร์รวมค่าคอมมิชชั่นไว้ในสเปรดเรียบร้อยแล้ว
  3. ตัวชี้วัดสภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity Indicator): สเปรดยังเป็นเครื่องมือชั้นดีในการประเมินสภาพคล่องของตลาดอีกด้วย
    • สเปรดแคบ (Tight Spread): บ่งบอกถึงตลาดที่มีสภาพคล่องสูง มีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากที่พร้อมจะเข้าทำธุรกรรมได้ทันที ทำให้ราคา Bid และ Ask ใกล้เคียงกันมาก นี่มักเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ที่เป็นที่นิยมสูงและในช่วงเวลาตลาดเปิดที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่น
    • สเปรดกว้าง (Wide Spread): บ่งบอกถึงตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ มีผู้ซื้อและผู้ขายน้อย ทำให้ช่องว่างระหว่างราคา Bid และ Ask กว้างออกไป เพราะการจับคู่คำสั่งซื้อขายทำได้ยากขึ้น นี่มักเกิดขึ้นกับสินทรัพย์ที่ได้รับความนิยมน้อย หรือในช่วงเวลาที่ตลาดปิดทำการหรือมีข่าวสำคัญ

การเข้าใจความสำคัญของสเปรดจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ไม่ใช่แค่เพื่อคำนวณต้นทุน แต่เพื่อเข้าใจ “สุขภาพ” ของตลาดและวางแผนการเทรดให้สอดคล้องกับสภาพจริง

ประเภทสเปรด คุณสมบัติ
สเปรดคงที่ (Fixed Spread) รักษาระดับสเปรดคงที่ตามที่กำหนด
สเปรดแปรผัน (Variable/Floating Spread) ปรับเปลี่ยนตามสภาวะของตลาด

สเปรดคงที่ (Fixed Spread) และสเปรดแปรผัน (Variable/Floating Spread): ทางเลือกที่แตกต่างกัน

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเสนอประเภทของสเปรดหลักๆ อยู่ 2 แบบ ซึ่งแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน และเหมาะกับกลยุทธ์การเทรดที่ไม่เหมือนกัน

1. สเปรดคงที่ (Fixed Spread)

สเปรดคงที่ คือสเปรดที่มีค่าตายตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาด โบรกเกอร์จะพยายามรักษาระดับสเปรดให้คงที่ตามที่กำหนดไว้เสมอ เช่น 2 Pips สำหรับคู่ EUR/USD

  • ข้อดี:
    • คาดการณ์ต้นทุนได้ง่าย: คุณรู้แน่นอนว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ในการเทรดแต่ละครั้ง ทำให้ง่ายต่อการคำนวณต้นทุนและวางแผนการเทรด
    • เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่: ความแน่นอนนี้ช่วยลดความสับสนและทำให้มือใหม่สบายใจขึ้น
    • เหมาะกับกลยุทธ์บางประเภท: เช่น Scalping หรือการเทรดระยะสั้นที่ต้องการความแม่นยำในการคำนวณจุดเข้าออก
  • ข้อเสีย:
    • มีโอกาสเกิด Requote สูง: ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก เช่น มีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โบรกเกอร์อาจไม่สามารถรักษา Fixed Spread ไว้ได้และจะ “Requote” (ปรับราคาใหม่) ซึ่งหมายความว่าคำสั่งซื้อขายของคุณอาจไม่ถูกดำเนินการที่ราคาที่คุณเห็นในตอนแรก ทำให้คุณพลาดโอกาสหรือได้ราคาที่ไม่ต้องการ
    • สเปรดอาจจะสูงกว่าในภาพรวม: เพื่อชดเชยความเสี่ยงที่โบรกเกอร์แบกรับในการรักษาสเปรดให้คงที่ สเปรดคงที่อาจมีค่าเฉลี่ยที่สูงกว่าสเปรดแปรผันเล็กน้อยในสภาวะตลาดปกติ
    • อาจไม่สะท้อนสภาพตลาดจริง: เนื่องจากโบรกเกอร์พยายามคงค่าสเปรดไว้ จึงอาจไม่สะท้อนถึงสภาพคล่องที่แท้จริงของตลาดในขณะนั้น

2. สเปรดแปรผัน หรือ สเปรดลอยตัว (Variable/Floating Spread)

สเปรดแปรผัน คือสเปรดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของตลาด โดยจะแคบลงเมื่อตลาดมีสภาพคล่องสูงและกว้างขึ้นเมื่อตลาดมีสภาพคล่องต่ำ

  • ข้อดี:
    • สะท้อนสภาพตลาดจริง: สเปรดจะปรับตามกลไกตลาดที่แท้จริง ทำให้คุณได้ราคาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ณ ขณะนั้น
    • ไม่มี Requote: เนื่องจากสเปรดปรับเปลี่ยนได้ตามสภาพตลาด คุณจึงไม่ค่อยพบปัญหาการ Requote คำสั่งซื้อขายของคุณจะถูกดำเนินการที่ราคาที่เห็นในขณะนั้น (ยกเว้นในกรณีที่มี Slippage ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อถัดไป)
    • สเปรดอาจจะแคบกว่าในสภาวะปกติ: โดยเฉพาะกับคู่สกุลเงินหลักในช่วงเวลาที่มีปริมาณการซื้อขายสูง สเปรดอาจจะแคบมากจนเป็นประโยชน์ต่อการทำกำไร
    • เหมาะสำหรับนักเทรดที่มีประสบการณ์: ผู้ที่เข้าใจกลไกตลาดและสามารถปรับตัวตามความผันผวนของสเปรดได้ดี
  • ข้อเสีย:
    • คาดการณ์ต้นทุนได้ยาก: คุณไม่รู้แน่นอนว่าสเปรดจะกว้างเท่าไหร่ในแต่ละช่วงเวลา ทำให้การวางแผนต้นทุนทำได้ยากขึ้น
    • อาจกว้างมากในช่วงข่าวสำคัญ: เมื่อมีการประกาศข่าวเศรษฐกิจสำคัญ หรือในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงมาก สเปรดอาจกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลกำไรและ Stop Loss ของคุณ
    • ไม่เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่: ความไม่แน่นอนของสเปรดอาจเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสบการณ์มากพอ

ดังนั้น การเลือกประเภทสเปรดจึงขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ประสบการณ์ และความพร้อมในการรับความเสี่ยงของคุณครับ

หากคุณกำลังมองหาโบรกเกอร์ฟอเร็กซ์ที่มีการกำกับดูแลและสามารถซื้อขายได้ทั่วโลก Moneta Markets มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายประเทศ เช่น FSCA, ASIC, FSA พร้อมบริการครบวงจร เช่น การเก็บรักษาเงินทุนอย่างปลอดภัย, VPS ฟรี, และฝ่ายบริการลูกค้า 24/7 ซึ่งเป็นตัวเลือกแรก ๆ ของนักเทรดจำนวนมาก

ภาพของตลาดการเงินที่แสดงการกระจายสกุลเงิน

ปรากฏการณ์ Requote และสลิปเพจ: เมื่อสเปรดคงที่อาจไม่คงที่เสมอไป

แม้ว่าสเปรดคงที่จะฟังดูน่าสนใจเพราะความแน่นอน แต่ก็มีสองปรากฏการณ์ที่นักเทรดควรทำความเข้าใจให้ดี เพราะมันสามารถส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อขายของคุณได้ไม่แพ้กัน

Requote (รีโควท)

Requote มักเกิดขึ้นกับบัญชีที่มี สเปรดคงที่ เมื่อคุณส่งคำสั่งซื้อขายไปแล้ว โบรกเกอร์ไม่สามารถดำเนินการคำสั่งนั้นที่ราคาที่คุณเห็นบนหน้าจอได้ทันที เนื่องจากราคาในตลาดมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว (มักเกิดในช่วงตลาดผันผวนสูง) แทนที่จะดำเนินการให้ โบรกเกอร์จะเสนอ “ราคาใหม่” ให้คุณพิจารณา

  • ผลกระทบ: หากคุณยอมรับราคาใหม่ คุณก็จะเทรดได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับ คำสั่งของคุณก็จะถูกยกเลิก ซึ่งหมายความว่าคุณอาจพลาดโอกาสสำคัญในการเข้าทำกำไร หรือไม่สามารถปิดตำแหน่งเพื่อตัดขาดทุนได้ทันท่วงที
  • สาเหตุ: เกิดจากความพยายามของโบรกเกอร์ในการรักษาสเปรดคงที่ ในขณะที่ต้นทุนของโบรกเกอร์เอง (ซึ่งอ้างอิงจากราคาตลาดจริง) มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โบรกเกอร์จึงต้องเสนอราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปได้

Slippage (สลิปเพจ)

Slippage คือปรากฏการณ์ที่คำสั่งซื้อขายของคุณถูกดำเนินการที่ราคาแตกต่างจากราคาที่คุณคาดหวังหรือราคาที่คุณกดส่งคำสั่งไว้ โดยเฉพาะในตลาดที่มี สเปรดแปรผัน

  • สาเหตุ: มักเกิดจากความผันผวนสูงมากในตลาด (เช่น การประกาศข่าวสำคัญ) หรือสภาพคล่องที่ต่ำมาก ทำให้ราคาเคลื่อนที่เร็วเกินกว่าที่ระบบจะจับคู่คำสั่งของคุณที่ราคาเดิมได้
  • ผลกระทบ:
    • Slippage ในทางลบ: คุณอาจซื้อได้ในราคาที่สูงขึ้น หรือขายได้ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น หรือกำไรลดลง/ขาดทุนมากขึ้น
    • Slippage ในทางบวก: (เกิดขึ้นได้น้อยกว่า) คุณอาจซื้อได้ในราคาที่ต่ำลง หรือขายได้ในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อคุณ
  • ความแตกต่างกับ Requote: Requote คือการปฏิเสธราคาเดิมและเสนอราคาใหม่เพื่อให้คุณเลือก ส่วน Slippage คือการดำเนินการคำสั่งของคุณไปแล้วแต่ที่ราคา “อื่น” ที่ไม่ตรงกับที่คุณเห็นในขณะกด

การเข้าใจ Requote และ Slippage จะช่วยให้คุณประเมินความเสี่ยงและเลือกประเภทบัญชี รวมถึงช่วงเวลาในการเทรดได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น นักเทรดที่มีประสบการณ์มักจะเลือกบัญชีที่มีสเปรดแปรผัน (ECN/Raw Spread) เพื่อหลีกเลี่ยง Requote และยอมรับความเสี่ยงของ Slippage แทน

ปัจจัยสำคัญที่กำหนดขนาดของสเปรด: จากสภาพคล่องถึงข่าวเศรษฐกิจ

สเปรดไม่ใช่ค่าคงที่ที่ตายตัวตลอดเวลา แต่มันคือค่าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกลไกและสภาวะต่างๆ ของตลาด การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของสเปรด และปรับกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม

  1. สภาพคล่องของตลาด (Market Liquidity):
    • สภาพคล่องสูง: เมื่อมีผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมากในตลาดที่พร้อมจะทำการซื้อขายสินทรัพย์นั้นๆ สเปรดจะแคบลง ตัวอย่างเช่น คู่สกุลเงินหลักอย่าง EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY มักจะมีสภาพคล่องสูงมาก ทำให้สเปรดโดยทั่วไปแคบ
    • สภาพคล่องต่ำ: เมื่อมีผู้ซื้อและผู้ขายน้อยลง ทำให้การจับคู่คำสั่งทำได้ยากขึ้น สเปรดจะกว้างขึ้น ซึ่งมักเกิดกับคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs) หรือสินทรัพย์ที่มีปริมาณการซื้อขายน้อย
  2. ความผันผวนของตลาด (Market Volatility):
    • ความผันผวนสูง: เมื่อราคามีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว สเปรดมักจะกว้างขึ้น เพราะความเสี่ยงของโบรกเกอร์ในการจับคู่คำสั่งเพิ่มขึ้น ทำให้โบรกเกอร์ต้องขยายสเปรดเพื่อป้องกันตัวเอง
    • ความผันผวนต่ำ: เมื่อราคาเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ และมีเสถียรภาพ สเปรดจะแคบลง
  3. ช่วงเวลาของการซื้อขาย (Trading Sessions):
    • ช่วงเวลาตลาดเปิดที่ทับซ้อนกัน: สเปรดมักจะแคบที่สุดในช่วงเวลาที่ตลาดการเงินใหญ่ๆ ทั่วโลกเปิดพร้อมกันและมีการทับซ้อนกัน เช่น ตลาดลอนดอนและนิวยอร์ก ซึ่งมีปริมาณการซื้อขายสูงสุด
    • ช่วงตลาดเอเชีย: สเปรดอาจจะกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงตลาดลอนดอน/นิวยอร์ก เนื่องจากปริมาณการซื้อขายโดยรวมน้อยกว่า
    • ช่วงปิดตลาด/วันหยุด: สเปรดจะกว้างมาก หรือโบรกเกอร์อาจปิดการซื้อขายชั่วคราว เนื่องจากสภาพคล่องต่ำมาก
  4. การประกาศข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจและเหตุการณ์สำคัญ (Major News Releases & Events):
    • ข่าวที่มีผลกระทบสูง: การประกาศข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย, ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NFP) ของสหรัฐฯ, การประชุมธนาคารกลาง, การเลือกตั้ง, หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ จะทำให้ตลาดผันผวนอย่างรุนแรงและสเปรดกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน เนื่องจากความไม่แน่นอนและปริมาณคำสั่งซื้อขายที่ถาโถมเข้ามาอย่างมหาศาล
    • ควรหลีกเลี่ยงการเทรด: นักเทรดส่วนใหญ่มักจะหลีกเลี่ยงการเปิดหรือปิดคำสั่งในช่วงเวลาที่มีการประกาศข่าวสำคัญเหล่านี้ เพื่อหลีกเลี่ยงสเปรดที่กว้างผิดปกติและ Slippage
  5. ประเภทสินทรัพย์ที่เทรด (Asset Type):
    • คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs): เช่น EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD มักมีสเปรดแคบที่สุดเนื่องจากสภาพคล่องสูง
    • คู่สกุลเงินรอง (Minor Pairs) และคู่สกุลเงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs): สเปรดจะกว้างขึ้นตามลำดับ เนื่องจากปริมาณการซื้อขายที่น้อยลง
    • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities), ดัชนี (Indices), หรือสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrencies): สเปรดอาจกว้างกว่าคู่สกุลเงินทั่วไป ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องและความผันผวนของสินทรัพย์นั้นๆ

การสังเกตและทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้นว่า ควรเทรดสินทรัพย์ใด ในช่วงเวลาใด และคาดการณ์ต้นทุนสเปรดที่จะเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ปัจจัย อธิบาย
สภาพคล่องของตลาด มีผลต่อความแคบหรือกว้างของสเปรด
ความผันผวนของตลาด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสเปรด
ช่วงเวลาของการซื้อขาย ระยะเวลาที่เปิดปิดทำการของตลาด
ข่าวสำคัญทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบถึงสภาพตลาดและการเคลื่อนไหวของสเปรด

การคำนวณสเปรดเป็น PIP: เข้าใจหน่วยวัดต้นทุนอย่างละเอียด

เมื่อเราพูดถึงสเปรด เรามักจะวัดมันเป็น “จุด” หรือ “Pips” (Percentage in Point) การเข้าใจวิธีการคำนวณ Pip จะช่วยให้คุณเห็นภาพต้นทุนที่แท้จริงและคำนวณกำไรขาดทุนได้อย่างถูกต้อง

PIP (พิก) คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เล็กที่สุดในตลาดฟอเร็กซ์

  • สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ (ยกเว้น JPY) PIP คือทศนิยมตำแหน่งที่ 4 เช่น EUR/USD จาก 1.12340 ไป 1.12350 ถือว่าเปลี่ยนไป 1 Pip
  • สำหรับคู่สกุลเงินที่มี JPY เป็นส่วนประกอบ เช่น USD/JPY, PIP คือทศนิยมตำแหน่งที่ 2 เช่น USD/JPY จาก 110.120 ไป 110.130 ถือว่าเปลี่ยนไป 1 Pip

การคำนวณสเปรดเป็น PIP:

สเปรด = ราคา Ask – ราคา Bid

ตัวอย่างที่ 1: คู่ EUR/USD

  • ราคา Ask: 1.10505
  • ราคา Bid: 1.10500
  • สเปรด = 1.10505 – 1.10500 = 0.00005 หรือ 5 Pips

ตัวอย่างที่ 2: คู่ USD/JPY

  • ราคา Ask: 109.805
  • ราคา Bid: 109.785
  • สเปรด = 109.805 – 109.785 = 0.020 หรือ 2 Pips

มูลค่าของ Pip (Pip Value):

มูลค่าของ 1 Pip จะขึ้นอยู่กับขนาดของล็อตที่คุณเทรดและคู่สกุลเงินนั้นๆ สูตรทั่วไปคือ:

Pip Value = (0.0001 / อัตราแลกเปลี่ยน) * ขนาดสัญญา * อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินอ้างอิง

หรือถ้าคิดง่ายๆ สำหรับ Standard Lot (100,000 หน่วย) ส่วนใหญ่ 1 Pip มีมูลค่าประมาณ 10 USD (สำหรับคู่ที่ USD เป็นสกุลเงินหลัง)

  • หากสเปรด 5 Pips และคุณเทรด 1 Standard Lot ต้นทุนสเปรดจะประมาณ 5 Pips * 10 USD/Pip = 50 USD ทันทีที่คุณเปิดตำแหน่ง

การทำความเข้าใจการคำนวณนี้ทำให้คุณสามารถประเมินต้นทุนที่แท้จริงของการเทรดแต่ละครั้งได้ และจะส่งผลต่อการบริหารเงินทุนและกำหนดขนาดตำแหน่งของคุณอย่างมีนัยสำคัญ

สเปรดกับคำสั่ง Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP): ความสัมพันธ์ที่ไม่ควรมองข้าม

สำหรับนักเทรด สองคำสั่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารความเสี่ยงและจัดการผลกำไรคือ Stop Loss (SL) และ Take Profit (TP) แต่คุณทราบหรือไม่ว่า สเปรดมีบทบาทสำคัญในการทำงานของคำสั่งเหล่านี้ และหากคุณไม่เข้าใจ อาจนำไปสู่ความผิดพลาดที่ไม่คาดคิดได้

สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ เส้น Bid และ Ask:

  • เมื่อคุณเปิดคำสั่ง Buy (ซื้อ) คุณจะเข้าที่ ราคา Ask
  • เมื่อคุณเปิดคำสั่ง Sell (ขาย) คุณจะเข้าที่ ราคา Bid
  • ในกราฟราคาที่คุณเห็น ส่วนใหญ่จะเป็น ราคา Bid (หรือในบางแพลตฟอร์มอาจแสดงเส้น Ask ด้วย)

ความสัมพันธ์กับ Stop Loss (SL)

คำสั่ง Stop Loss คือคำสั่งที่ใช้เพื่อจำกัดการขาดทุนโดยการปิดตำแหน่งอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

  • สำหรับคำสั่ง Buy (Long Position):
    • คุณซื้อที่ราคา Ask และตั้ง SL ไว้ที่ราคา Bid ที่ต่ำกว่า
    • คำสั่ง SL ของคุณจะถูกกระตุ้นเมื่อ ราคา Bid (เส้นล่างของสเปรด) แตะหรือต่ำกว่าระดับ SL ที่คุณตั้งไว้
  • สำหรับคำสั่ง Sell (Short Position):
    • คุณขายที่ราคา Bid และตั้ง SL ไว้ที่ราคา Ask ที่สูงกว่า
    • คำสั่ง SL ของคุณจะถูกกระตุ้นเมื่อ ราคา Ask (เส้นบนของสเปรด) แตะหรือสูงกว่าระดับ SL ที่คุณตั้งไว้

ข้อควรระวัง: สเปรดที่กว้างขึ้นในช่วงผันผวนอาจทำให้ SL ของคุณถูกกระตุ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากราคา Bid หรือ Ask อาจขยับไปแตะระดับ SL แม้ว่าราคาหลักที่คุณเห็นบนกราฟยังไม่ถึงก็ตาม

ความสัมพันธ์กับ Take Profit (TP)

คำสั่ง Take Profit คือคำสั่งที่ใช้เพื่อปิดตำแหน่งอัตโนมัติเพื่อทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนที่ไปถึงระดับที่คุณกำหนดไว้

  • สำหรับคำสั่ง Buy (Long Position):
    • คุณซื้อที่ราคา Ask และตั้ง TP ไว้ที่ราคา Bid ที่สูงกว่า
    • คำสั่ง TP ของคุณจะถูกกระตุ้นเมื่อ ราคา Bid (เส้นล่างของสเปรด) แตะหรือสูงกว่าระดับ TP ที่คุณตั้งไว้
  • สำหรับคำสั่ง Sell (Short Position):
    • คุณขายที่ราคา Bid และตั้ง TP ไว้ที่ราคา Ask ที่ต่ำกว่า
    • คำสั่ง TP ของคุณจะถูกกระตุ้นเมื่อ ราคา Ask (เส้นบนของสเปรด) แตะหรือต่ำกว่าระดับ TP ที่คุณตั้งไว้

ข้อควรระวัง: สเปรดที่กว้างขึ้นอาจทำให้ TP ของคุณถูกกระตุ้นช้าลง หรือคุณอาจต้องรอนานขึ้นกว่าที่ราคาจะไปถึงระดับ TP เนื่องจากต้องรอให้เส้น Bid หรือ Ask ขยับไปถึงจุดที่ต้องการ

ความเข้าใจเรื่องนี้สำคัญมากในการกำหนดจุด SL และ TP อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะสำหรับนักเทรดระยะสั้นที่ทำงานกับกรอบเวลาที่แคบและเป้าหมายกำไรที่จำกัด การคำนึงถึงสเปรดจะช่วยให้การบริหารความเสี่ยงและการทำกำไรของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด

กลยุทธ์การบริหารจัดการสเปรดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเทรด: เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อเราเข้าใจถึงความสำคัญและกลไกของสเปรดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการเรียนรู้วิธีการบริหารจัดการมันอย่างชาญฉลาด เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร นี่คือกลยุทธ์ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้จริง:

  1. เลือกประเภทสเปรดและบัญชีที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณ:
    • Scalping หรือ Day Trading: หากคุณเป็นนักเทรดระยะสั้นที่เปิดปิดออเดอร์บ่อยครั้งและต้องการทำกำไรเล็กน้อยในแต่ละครั้ง คุณควรเลือกบัญชีที่มี สเปรดแปรผันที่แคบมาก (Raw Spread) หรือบัญชี ECN/STP ซึ่งแม้จะมีค่าคอมมิชชั่นแยก แต่ต้นทุนรวมมักจะต่ำกว่าในระยะยาว และไม่มี Requote
    • Swing Trading หรือ Position Trading: สำหรับนักเทรดระยะกลางถึงยาวที่ถือตำแหน่งนานขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสเปรดเพียงเล็กน้อยอาจไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก คุณอาจเลือกบัญชีมาตรฐานที่มีสเปรดแปรผันทั่วไป หรือสเปรดคงที่หากต้องการความแน่นอนในการคำนวณต้นทุน
  2. เลือกช่วงเวลาเทรดที่มีสภาพคล่องสูง:
    • ช่วงเวลาทับซ้อนของตลาดหลัก: เช่น ช่วงที่ตลาดลอนดอนและนิวยอร์กเปิดพร้อมกัน (ประมาณ 14:00 – 22:00 น. ตามเวลา GMT หรือประมาณ 21:00 – 05:00 น. ตามเวลาไทย) ซึ่งมักเป็นช่วงที่มีสภาพคล่องสูงสุดและสเปรดแคบที่สุด
    • หลีกเลี่ยงช่วงปิดตลาด/วันหยุด: สเปรดจะกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงตลาดปิด หรือช่วงที่ตลาดสำคัญกำลังจะเปิดในวันใหม่
  3. หลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงที่มีการประกาศข่าวสำคัญ:
    • ตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจ: ก่อนการเทรดในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์ ควรตรวจสอบปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) เพื่อดูว่ามีการประกาศข่าวสำคัญใดบ้างที่จะส่งผลกระทบต่อตลาด
    • หลีกเลี่ยงการเปิด/ปิดคำสั่ง: งดการเปิดหรือปิดคำสั่งซื้อขายในช่วงก่อนและหลังการประกาศข่าวสำคัญประมาณ 15-30 นาที เพื่อหลีกเลี่ยงสเปรดที่กว้างผิดปกติและ Slippage ที่อาจเกิดขึ้น
  4. เลือกคู่สินทรัพย์ยอดนิยมที่มีสเปรดแคบ:
    • คู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs): เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY, USD/CHF, AUD/USD, USD/CAD มักจะมีสเปรดที่แคบที่สุด เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายสูงมาก
    • หลีกเลี่ยงคู่ Exotic Pairs: หากคุณไม่ได้มีเหตุผลพิเศษในการเทรดคู่สกุลเงินแปลกใหม่ ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากสเปรดมักจะกว้างมากและสภาพคล่องต่ำ
  5. พิจารณาใช้คำสั่งจำกัด (Limit Orders) แทนคำสั่งตลาด (Market Orders):
    • Market Order: คือการสั่งซื้อ/ขายทันทีที่ราคาตลาดปัจจุบัน ซึ่งจะถูกดำเนินการทันทีที่ราคา Bid/Ask ณ ขณะนั้น ทำให้คุณต้องยอมรับสเปรดที่ปรากฏ
    • Limit Order: คือการตั้งคำสั่งซื้อ/ขายที่ราคาที่คุณต้องการเท่านั้น หากราคาตลาดไม่ถึงจุดนั้น คำสั่งของคุณจะไม่ถูกดำเนินการ แม้ว่าคุณจะไม่ได้ควบคุมสเปรดโดยตรง แต่การใช้ Limit Order ก็ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าจะได้ราคาที่ต้องการและควบคุมต้นทุนได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง (ยกเว้นกรณีที่ราคาข้ามจุด Limit Order ไปเร็วมาก)
  6. เลือกโบรกเกอร์ที่โปร่งใสและมีสเปรดที่แข่งขันได้:
    • เปรียบเทียบสเปรด: อย่าเพิ่งตัดสินใจเลือกโบรกเกอร์จากสเปรดที่โฆษณาเพียงอย่างเดียว แต่ควรทดลองใช้บัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อดูสเปรดจริงในสภาวะตลาดต่างๆ
    • ตรวจสอบเงื่อนไขอื่นๆ: พิจารณาค่าคอมมิชชั่นแฝง, สวอป (Swap), ความเร็วในการดำเนินการคำสั่ง, และความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์ควบคู่กันไป

หากคุณกำลังพิจารณาที่จะเริ่มต้นการซื้อขายฟอเร็กซ์หรือสำรวจผลิตภัณฑ์ CFD เพิ่มเติม Moneta Markets เป็นแพลตฟอร์มที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลียและนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินมากกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมืออาชีพ ก็สามารถค้นหาตัวเลือกที่เหมาะสมได้ที่นี่

การเลือกโบรกเกอร์และประเภทบัญชีที่เหมาะสมกับสเปรด: ปัจจัยสำคัญสำหรับนักเทรด

การเลือกโบรกเกอร์ไม่ใช่แค่การหาแพลตฟอร์มที่สวยงาม แต่เป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีผลต่อต้นทุนการเทรดและประสิทธิภาพโดยรวมของคุณ การทำความเข้าใจโครงสร้างสเปรดและประเภทบัญชีที่โบรกเกอร์นำเสนอจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง

พิจารณาประเภทโบรกเกอร์ที่แตกต่างกัน

โบรกเกอร์สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ซึ่งส่งผลต่อรูปแบบของสเปรดที่นำเสนอ:

  • Market Maker (MM): โบรกเกอร์กลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็น “ผู้สร้างตลาด” พวกเขาเสนอราคา Bid/Ask ให้กับลูกค้าโดยตรงและอาจเข้าถือตำแหน่งตรงข้ามกับลูกค้า ซึ่งอาจทำให้สเปรดของพวกเขามีค่าคงที่หรือมีค่าค่อนข้างสูงกว่าตลาดจริงเล็กน้อยเพื่อทำกำไร
  • STP (Straight Through Processing) / ECN (Electronic Communication Network): โบรกเกอร์กลุ่มนี้ส่งคำสั่งซื้อขายของลูกค้าโดยตรงไปยังผู้ให้บริการสภาพคล่อง (Liquidity Providers) หลายราย ทำให้ลูกค้าได้สเปรด “ดิบ” (Raw Spread) ที่แคบมาก ซึ่งสะท้อนราคาตลาดจริง แต่โบรกเกอร์จะเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นต่อล็อตแทน นี่คือตัวเลือกที่นักเทรดมืออาชีพส่วนใหญ่มักเลือก

ประเภทบัญชีและผลกระทบต่อสเปรด

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเสนอประเภทบัญชีที่หลากหลาย ซึ่งแต่ละประเภทก็มีโครงสร้างค่าธรรมเนียมและสเปรดที่แตกต่างกัน:

  • บัญชีมาตรฐาน (Standard Account): มักจะมีสเปรดแปรผันที่ถูกบวกเพิ่มเข้ามาแล้ว (Mark-up Spread) โดยไม่มีค่าคอมมิชชั่นแยกต่างหาก เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่หรืองบประมาณที่จำกัด
  • บัญชี ECN/Raw Spread Account: เสนอสเปรดที่แคบที่สุด (สเปรดดิบ) โดยมีการเรียกเก็บค่าคอมมิชชั่นต่อการเทรดหนึ่งล็อต เหมาะสำหรับ Scalpers, Day Traders และนักเทรดมืออาชีพที่ต้องการต้นทุนต่ำที่สุดและโปร่งใสที่สุด
  • บัญชี Cent Account / Micro Account: ออกแบบมาสำหรับนักเทรดมือใหม่ที่ต้องการทดลองเทรดด้วยเงินลงทุนน้อยๆ โดยมีขนาดล็อตที่เล็กกว่าบัญชีมาตรฐานมาก สเปรดอาจคล้ายกับบัญชีมาตรฐานหรือกว้างกว่าเล็กน้อย
  • บัญชี Swap-Free / Islamic Account: บัญชีที่ไม่มีการคิดค่าสวอป (ค่าธรรมเนียมข้ามคืน) แต่โบรกเกอร์อาจชดเชยด้วยการเพิ่มสเปรดให้สูงขึ้นเล็กน้อย หรือเก็บค่าธรรมเนียมบริหารจัดการอื่นๆ แทน

สิ่งที่ควรพิจารณาในการเลือกโบรกเกอร์

  1. การกำกับดูแลและใบอนุญาต: เลือกโบรกเกอร์ที่ได้รับการกำกับดูแลโดยหน่วยงานที่มีชื่อเสียง เช่น ASIC (ออสเตรเลีย), FCA (สหราชอาณาจักร), CySEC (ไซปรัส) ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ
  2. สเปรดโดยเฉลี่ย: ตรวจสอบสเปรดโดยเฉลี่ยของคู่สกุลเงินที่คุณเทรดบ่อยๆ ไม่ใช่แค่สเปรดต่ำสุดที่โบรกเกอร์โฆษณา
  3. ค่าคอมมิชชั่น: หากเลือกบัญชี ECN/Raw Spread อย่าลืมนำค่าคอมมิชชั่นมาคำนวณรวมกับสเปรดเพื่อดูต้นทุนรวมที่แท้จริง
  4. ความเร็วในการดำเนินการ (Execution Speed): ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพื่อลดโอกาสการเกิด Slippage
  5. ความโปร่งใส: โบรกเกอร์ที่ดีควรแสดงข้อมูลสเปรดและค่าธรรมเนียมอื่นๆ อย่างชัดเจน
  6. บริการลูกค้า: ควรมีทีมสนับสนุนที่สามารถตอบคำถามและช่วยเหลือคุณได้อย่างรวดเร็วและเป็นมืออาชีพ

ในการเลือกแพลตฟอร์มการซื้อขาย ความยืดหยุ่นและความได้เปรียบทางเทคนิคของ Moneta Markets นั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง แพลตฟอร์มนี้รองรับแพลตฟอร์มหลักอย่าง MT4, MT5, Pro Trader ผสมผสานกับการประมวลผลที่รวดเร็วและการตั้งค่าสเปรดที่ต่ำ มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ยอดเยี่ยม

บทสรุป: สเปรดไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการเทรด

ในท้ายที่สุด สเปรดไม่ใช่เพียงแค่ช่องว่างระหว่างราคาซื้อและราคาขายที่เราเห็นบนหน้าจอเท่านั้น แต่มันคือ “ต้นทุนแฝง” ที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกรรมทางการเงิน มันสะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องของตลาด ความผันผวน และเป็นแหล่งรายได้หลักของโบรกเกอร์ การมองข้ามความสำคัญของสเปรดอาจนำไปสู่การคำนวณต้นทุนที่ผิดพลาด และบั่นทอนโอกาสในการทำกำไรของคุณโดยไม่รู้ตัว

ในฐานะนักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในทุกแง่มุมของสเปรด ทั้งความหมาย ประเภทต่างๆ ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อมัน ไปจนถึงความสัมพันธ์กับคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit รวมถึงกลยุทธ์ในการบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด การเรียนรู้และปรับตัวตามสภาวะสเปรดที่เปลี่ยนแปลงไป จะช่วยให้คุณสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรสูงสุดในทุกตลาดการเงิน

จำไว้ว่า การเป็นนักเทรดที่เชี่ยวชาญ ไม่ใช่แค่การคาดการณ์ทิศทางราคาได้อย่างแม่นยำ แต่ยังรวมถึงความสามารถในการ “จัดการต้นทุน” และ “บริหารความเสี่ยง” ได้อย่างรอบคอบด้วย และสเปรดนี่แหละคือหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายเหล่านั้น ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการเดินทางสายการลงทุน!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับspread หุ้น คือ

Q:สเปรดคืออะไร?

A:สเปรดคือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขายในตลาดการเงิน ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ผู้เทรดต้องจ่ายในการทำธุรกรรมต่างๆ

Q:ทำไมสเปรดจึงมีความสำคัญในการเทรด?

A:สเปรดเป็นตัวบ่งชี้ต้นทุนการทำธุรกรรมและสภาพคล่องของตลาด ดังนั้นการมีความเข้าใจในสเปรดจะช่วยในการวางแผนกลยุทธ์การเทรดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Q:สามารถลดสเปรดได้หรือไม่?

A:สามารถลดสเปรดได้โดยการเลือกโบรกเกอร์ที่มีสเปรดแคบที่สุดหรือใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง

More From Author

เงินโปรตุเกส: ประตูสู่โอกาสการลงทุนและคุณภาพชีวิตในยุโรปตะวันตก

แพทเทิร์น Forex ทั้งหมด: คู่มือครอบคลุมสำหรับนักเทรดในปี 2025

發佈留言