หุ้นที่แพงที่สุดในโลก: เจาะลึกราคาหลักแสน ปัจจัยเบื้องหลัง และโอกาสนักลงทุนไทย

บทนำ: ทำความเข้าใจ “หุ้นที่แพงที่สุดในโลก” คืออะไร?

ทุกครั้งที่เอ่ยถึง “หุ้นที่แพงที่สุดในโลก” หลายคนมักนึกภาพถึงยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Apple หรือ Microsoft ทันที แต่ความจริงแล้ว คำว่า “แพงที่สุด” ในแวดวงหุ้นไม่ได้ตีความจากมูลค่าตลาดรวมของบริษัทเสมอไป หากแต่เน้นไปที่ราคาต่อหุ้นหนึ่งหน่วย ซึ่งเป็นมุมมองที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจให้ลึกซึ้งเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในตลาดทุน บทความนี้จึงจะพาคุณสำรวจหุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงสุดในโลก ปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาพุ่งทะยานแบบนั้น รวมถึงโอกาสและอุปสรรคที่นักลงทุนชาวไทยต้องเผชิญเมื่ออยากเข้าถึงหุ้นชั้นนำเหล่านี้

นักลงทุนกำลังดูกราฟหุ้นที่มีราคาสูงลิ่วในสไตล์ภาพประกอบ

หนึ่งในความเข้าใจผิดที่พบได้บ่อยคือ การสมมติว่าหุ้นราคาแพงต้องเป็นหุ้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดเสมอ แต่ในความเป็นจริง ราคาต่อหน่วยนี้เป็นเพียงตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงจำนวนหุ้นทั้งหมดที่บริษัทปล่อยสู่ตลาดและแนวทางการแบ่งหุ้น (Stock Split) ของบริษัทนั้นๆ มากกว่า มันไม่ได้สะท้อนถึงคุณค่าที่แท้จริงหรือโอกาสเติบโตในอนาคตเพียงอย่างเดียว ดังนั้น การลงทุนอย่างชาญฉลาดจึงต้องพิจารณาถึงรากฐานทางธุรกิจและมูลค่าตลาดรวมของบริษัทไปพร้อมกัน เพื่อให้ได้ภาพรวมที่สมบูรณ์

จัดอันดับหุ้นที่แพงที่สุดในโลก (อัปเดต 2024)

การเรียงลำดับหุ้นที่ “แพงที่สุด” นั้นมักปรับเปลี่ยนตามกระแสตลาด แต่โดยรวมแล้ว หุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่มักมาจากตลาดที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีแนวปฏิบัติเรื่องการแบ่งหุ้นที่แตกต่างกันไปในแต่ละบริษัท ทำให้เกิดความหลากหลายในราคาต่อหน่วย

กองเหรียญทองแทนหุ้น Berkshire Hathaway Class A พร้อมภาพ Warren Buffett ในพื้นหลังสไตล์ภาพประกอบ

หุ้นสหรัฐฯ ที่มีราคาสูงสุด

หุ้นที่มีราคาต่อหน่วยพุ่งสูงสุดในเวทีโลกมักโผล่มาจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น NYSE หรือ NASDAQ ที่เต็มไปด้วยบริษัทชั้นนำ ในปี 2024 หุ้นที่โด่งดังและถูกยกย่องว่าแพงที่สุดคือ Berkshire Hathaway Class A (BRK.A) ของ Warren Buffett ซึ่งราคาต่อหุ้นทะลุหลักแสนดอลลาร์สหรัฐ มาจากนโยบายที่ยึดมั่นไม่เคยแบ่งหุ้นตั้งแต่ก่อตั้ง นอกจากนี้ ยังมีบริษัทอื่นที่น่าจับตามอง เช่น NVR, Inc. (NVR) ผู้เชี่ยวชาญด้านก่อสร้างบ้านและสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ Seaboard Corporation (SEB) ที่คร่ำหวอดในธุรกิจเกษตรและอาหารแบบครบวงจร ราคาของหุ้นเหล่านี้ล้วนมาจากผลงานที่มั่นคงและจำนวนหุ้นที่ออกสู่ตลาดแบบจำกัด (ที่มา: Investopedia).

หุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก (แต่ราคาต่อหุ้นอาจไม่สูงมาก)

ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ครองมูลค่าตลาดรวม (Market Capitalization) สูงสุดหลายรายกลับมีราคาต่อหน่วยที่ไม่ได้สูงลิ่วนัก สาเหตุหลักมาจากการแบ่งหุ้นเป็นประจำ เพื่อให้ราคาเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยได้ง่ายขึ้น อย่างเช่น Apple (AAPL), Microsoft (MSFT), Saudi Aramco, Alphabet (GOOGL/GOOG) และ Tesla (TSLA) ซึ่งแม้จะมีมูลค่าตลาดรวมทะลุล้านล้านดอลลาร์ แต่ราคาต่อหน่วยกลับอยู่ในช่วงหลักร้อยไปจนถึงหลักพันดอลลาร์เท่านั้น

ดังนั้น การชี้แจงความแตกต่างระหว่าง “ราคาหุ้นแพง” กับ “มูลค่าตลาดสูง” จึงจำเป็นมาก ราคาต่อหน่วยที่สูงไม่ได้บ่งบอกว่าบริษัทนั้นใหญ่ที่สุดเสมอไป แต่หมายถึงต้องใช้ทุนก้อนโตเพื่อซื้อหุ้นหนึ่งหน่วย ในทางกลับกัน มูลค่าตลาดรวมกลับแสดงถึงขนาดและขอบเขตของบริษัทโดยรวมได้ชัดเจนกว่า

ปัจจัยอะไรที่ทำให้หุ้นเหล่านี้ “แพงที่สุดในโลก”?

ราคาต่อหน่วยที่พุ่งสูงของหุ้นบางตัวไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลจากองค์ประกอบหลายอย่างที่ทำงานร่วมกัน ทำให้หุ้นเหล่านี้กลายเป็นที่หมายปองของนักลงทุนทั่วโลก

เฟืองหมุนทำงานร่วมกันแทนรากฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและความเชื่อมั่นของนักลงทุนสไตล์ภาพประกอบ

นโยบายการแตกพาร์ (Stock Split) ที่ไม่เกิดขึ้น

เหตุผลหลักที่ทำให้หุ้นอย่าง Berkshire Hathaway Class A มีราคาสูงขนาดนี้คือการยึดหลักไม่แบ่งหุ้นเลย การแบ่งหุ้นคือกระบวนการที่บริษัทเพิ่มจำนวนหุ้นออกสู่ตลาดโดยลดราคาต่อหน่วย เช่น จากหุ้นหนึ่งหน่วยราคา 1,000 บาท กลายเป็นสองหน่วยราคา 500 บาทต่อหน่วย ซึ่งช่วยให้หุ้นเข้าถึงนักลงทุนได้กว้างขึ้น แต่ถ้าบริษัทเลือกไม่ทำเช่นนั้น จำนวนหุ้นในตลาดก็ยังคงเดิมหรือเพิ่มขึ้นน้อยนิด เมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าธุรกิจเติบโตต่อเนื่อง แต่หุ้นที่ออกมาก็จำกัด ส่งผลให้ราคาต่อหน่วยทะยานขึ้นไม่หยุดยั้ง

พื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งและผลประกอบการที่โดดเด่น

หุ้นที่แพงที่สุดมักเป็นของบริษัทที่มีรากฐานธุรกิจมั่นคงแบบเหลือเชื่อ ด้วยการบริหารงานชาญฉลาด กำไรที่สม่ำเสมอ และความสามารถในการกำหนดราคา (Pricing Power) ในวงการของตัวเอง ตัวอย่างชัดเจนคือ Berkshire Hathaway ที่ Warren Buffett ดูแล ซึ่งมีพอร์ตการลงทุนหลากหลายและประสบความสำเร็จยาวนาน การเติบโตแบบนี้กลายเป็นแรงผลักดันหลักที่ค้ำจุนราคาหุ้นให้สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องพึ่งพาการแบ่งหุ้น

ความเชื่อมั่นและชื่อเสียงของนักลงทุน

แบรนด์ที่แข็งแกร่งและภาพลักษณ์ของผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลก็มีส่วนสำคัญในการสร้างความไว้วางใจจากนักลงทุน หุ้นของบริษัทเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็น “หุ้นคุณภาพสูง” ที่มั่นคง เหมาะสำหรับการถือยาว ทำให้เกิดแรงซื้อต่อเนื่อง แม้ราคาจะแพงลิ่วก็ตาม ความเชื่อมั่นนี้บางครั้งฝังรากลึกในวัฒนธรรมการลงทุน เช่น ความจงรักภักดีต่อแนวคิดของ Warren Buffett ที่ทำให้ผู้ถือหุ้น BRK.A ยินดีถือยาวๆ โดยไม่รีบขาย

อุปทานและอุปสงค์ในตลาด

เหมือนกับสินค้าทั่วไปในเศรษฐกิจ ถ้าอุปทาน (จำนวนหุ้นในตลาด) น้อยแต่ความต้องการ (อุปสงค์) สูง ราคาก็ย่อมพุ่งตามหลักตลาด หุ้นที่แพงที่สุดจึงมักมีหุ้นหมุนเวียนน้อยเมื่อเทียบกับความสนใจจากนักลงทุน สร้างการแข่งขันซื้อขายที่ผลักราคาให้สูงขึ้น โดยเฉพาะในบริษัทที่จำกัดการออกหุ้นใหม่เพื่อรักษาคุณภาพ

หุ้นไทยที่ “แพงที่สุด” หรือมีมูลค่าโดดเด่น: มุมมองจากตลาด SET

ถึงแม้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จะไม่มีหุ้นที่ราคาต่อหน่วยสูงเท่ากับ Berkshire Hathaway Class A แต่ก็มีหุ้นไทยหลายตัวที่ราคาต่อหน่วยค่อนข้างสูงหรือมีมูลค่าตลาดโดดเด่น ซึ่งบ่งบอกถึงคุณภาพธุรกิจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในประเทศ

การจัดอันดับหุ้นไทยที่มีราคาสูง

ในตลาด SET หุ้นที่ราคาต่อหน่วยสูงกว่าค่าเฉลี่ยมักเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมหลัก เช่น ธนาคาร พลังงาน โทรคมนาคม หรือค้าปลีก ซึ่งมีผลงานยอดเยี่ยมและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ในปี 2024 หุ้นเหล่านี้มักมาจากธุรกิจที่เติบโตสูงในภาคเฉพาะทาง โดยปัจจัยที่ขับเคลื่อนราคา ได้แก่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย นโยบายรัฐบาล และผลประกอบการที่สอดคล้องกับแนวโน้มอุตสาหกรรม เช่น หุ้นในกลุ่มพลังงานที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันโลก หรือธนาคารที่ขยายฐานลูกค้าในยุคดิจิทัล (ที่มา: ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET)).

เปรียบเทียบกับหุ้นโลก

เมื่อเทียบกับหุ้นระดับโลก หุ้นไทยที่ราคาสูงยังคงเข้าถึงได้ง่ายกว่า เนื่องจากบริษัทไทยส่วนใหญ่เลือกแบ่งหุ้นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องและดึงดูดนักลงทุนรายย่อย ข้อดีสำหรับนักลงทุนไทยคือ ความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมธุรกิจในประเทศและการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกกว่า แต่การลงทุนในหุ้นโลกก็เปิดโอกาสกระจายความเสี่ยงและสัมผัสอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่ตลาดไทยอาจไม่มี เช่น เทคโนโลยีขั้นสูงหรือพลังงานหมุนเวียน

การลงทุนในหุ้นที่แพงที่สุดในโลก: โอกาสและความท้าทายสำหรับนักลงทุนไทย

การเข้าลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่อหน่วยสูงสุดระดับโลกนั้น เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและข้อจำกัดที่นักลงทุนไทยต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

ข้อดีและข้อควรพิจารณา

หุ้นเหล่านี้มักมาจากบริษัทที่มีรากฐานแข็งแกร่ง ประวัติผลงานโดดเด่น และศักยภาพเติบโตยาวนาน ซึ่งอาจนำมาซึ่งผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ต้องคำนึงถึงราคาที่สูงลิ่วซึ่งต้องใช้ทุนมากในการซื้อหนึ่งหน่วย บวกกับสภาพคล่องที่อาจต่ำเนื่องจากหุ้นหมุนเวียนน้อย ส่งผลให้การซื้อขายไม่คล่องตัวเท่าหุ้นทั่วไป และความผันผวนของตลาดที่อาจกระทบนักลงทุนทุนน้อย เช่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ราคาหุ้นคุณภาพสูงยังคงทนทานแต่ก็ปรับตัวตามตลาดได้

ช่องทางการลงทุนสำหรับนักลงทุนไทย

นักลงทุนไทยที่อยากลองลงทุนในหุ้นราคาแพงเหล่านี้มีทางเลือกหลากหลาย:

  • เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ: บางโบรกเกอร์เปิดบริการตรงให้นักลงทุนไทย ช่วยให้ซื้อขายหุ้นต่างประเทศได้สะดวก
  • ลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipts): เป็นตราสารที่ธนาคารในประเทศออก เพื่อให้เข้าถึงหุ้นต่างชาติโดยไม่ต้องเปิดบัญชีต่างประเทศ โดย DR บางตัวอ้างอิงหุ้นดังๆ อย่าง Berkshire Hathaway
  • ลงทุนผ่าน ETF (Exchange Traded Funds): ETF ที่โฟกัสหุ้นโลกหรือกลุ่มธุรกิจคุณภาพสูง ช่วยกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงหุ้นชั้นนำได้ง่าย
  • ซื้อ Fractional Shares: โบรกเกอร์บางแห่งเริ่มรองรับการซื้อหุ้นเศษส่วน ทำให้ทุนน้อยก็ลงทุนได้ โดยไม่ต้องซื้อเต็มหน่วย (ที่มา: SET Investnow)

นอกจากนี้ ยังต้องระวังเรื่องกฎระเบียบและภาษี เช่น ภาษีกำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผล รวมถึงข้อกำหนดการโอนเงินข้ามประเทศ ซึ่งขึ้นกับข้อตกลงระหว่างไทยกับประเทศนั้นๆ แนะนำให้ศึกษาล่วงหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา

ทางเลือกอื่นสำหรับนักลงทุนงบจำกัด

สำหรับผู้ที่มีงบน้อยและซื้อหุ้นแพงโดยตรงไม่ได้ ยังมีทางออกอื่นในการเข้าถึงบริษัทชั้นนำ:

  • กองทุนรวม: เลือกกองที่เน้นหุ้นต่างประเทศหรือบริษัทพื้นฐานแข็งแกร่งทั่วโลก เพื่อให้ผู้จัดการกองทุนช่วยคัดสรร
  • ETF: นอกจากที่กล่าวมา ยังมี ETF ที่ติดตามดัชนีตลาดใหญ่หรือกลุ่มหุ้นเติบโตสูง เช่น S&P 500 ที่รวมหุ้นคุณภาพ
  • หุ้นแบบ Fractional Shares: ถ้าโบรกเกอร์ไทยหรือต่างประเทศมีบริการนี้ ก็ช่วยให้ลงทุนตามกำลังได้ โดยเริ่มต้นจากหลักร้อยบาท

ไม่ว่าจะทางไหน การกระจายพอร์ตและศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดคือกุญแจสำคัญ เพื่อให้การลงทุนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

สรุปและข้อคิดสำหรับการลงทุน

การเข้าใจ “หุ้นที่แพงที่สุดในโลก” ไม่ใช่แค่การท่องชื่อหุ้นที่ราคาต่อหน่วยสูงสุด แต่คือการขุดลึกถึงรากฐานธุรกิจ การตัดสินใจของผู้บริหาร และกฏเกณฑ์ตลาดที่หล่อหลอมให้หุ้นเหล่านั้นมีมูลค่ามหาศาล การแยกแยะระหว่างราคาต่อหน่วยกับมูลค่าตลาดรวมจึงเป็นพื้นฐานสำคัญในการตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้อง

คำแนะนำสุดท้ายสำหรับนักลงทุนคือ ควรขุดข้อมูลให้ลึก ทำความรู้จักธุรกิจของบริษัทที่สนใจ และวางแผนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการเงินและระดับความเสี่ยงที่รับไหว การลงทุนในหุ้นราคาสูงอาจให้ผลตอบแทนดี แต่ต้องอาศัยการวิเคราะห์ที่รอบคอบและช่องทางเข้าถึงที่เหมาะสม โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนไทยที่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสมัยใหม่เพื่อขยายโอกาส

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

1. หุ้นที่แพงที่สุดในโลก ณ ปัจจุบันคือหุ้นอะไร?

ในปี 2024 หุ้นที่แพงที่สุดในแง่ราคาต่อหน่วยคือ Berkshire Hathaway Class A (BRK.A) ซึ่งราคาสูงลิ่วเพราะบริษัทไม่เคยแบ่งหุ้นตั้งแต่เริ่มต้น

2. นักลงทุนไทยจะสามารถลงทุนในหุ้นที่แพงที่สุดในโลกได้อย่างไรบ้าง?

นักลงทุนไทยมีทางเลือกหลายแบบในการเข้าถึงหุ้นเหล่านี้:

  • เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่รองรับนักลงทุนไทย
  • ลงทุนผ่าน DR (Depositary Receipts) ที่เชื่อมโยงกับหุ้นต่างชาติ
  • เลือก ETF (Exchange Traded Funds) ที่โฟกัสหุ้นโลกหรือหุ้นชั้นนำ
  • ลองซื้อ Fractional Shares ถ้าโบรกเกอร์มีบริการนี้

3. ราคาหุ้นที่แพงที่สุดในโลก มีความหมายอย่างไรต่อการลงทุนของเรา?

ราคาสูงแบบนี้หมายถึงต้องใช้เงินทุนมากเพื่อซื้อหุ้นหนึ่งหน่วย ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคสำหรับนักลงทุนรายย่อย แต่โดยทั่วไป มันสะท้อนถึงธุรกิจที่มั่นคงและนโยบายไม่แบ่งหุ้น ไม่ได้การันตีว่าหุ้นนั้นดีที่สุดเสมอไป

4. หุ้นไทยตัวใดบ้างที่ถือว่ามีราคาสูงหรือมีมูลค่าโดดเด่นในตลาดหลักทรัพย์ SET?

หุ้นไทยที่ราคาสูงหรือโดดเด่นมักเป็นบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมหลัก เช่น พลังงาน ธนาคาร หรือโทรคมนาคม ที่มีผลงานแข็งแกร่งและมั่นคง อย่าง PTT, SCB, ADVANC (โปรดเช็คราคาล่าสุดเพราะตลาดเปลี่ยนแปลงตลอด)

5. อะไรคือความแตกต่างระหว่าง “หุ้นราคาแพง” กับ “หุ้นที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงสุด”?

  • หุ้นราคาแพง: หมายถึงราคาต่อหน่วยสูง เช่น Berkshire Hathaway Class A
  • หุ้นที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงสุด: หมายถึงมูลค่ารวมของหุ้นทั้งหมดสูง เช่น Apple หรือ Microsoft

ทั้งสองไม่เหมือนกัน หุ้นมูลค่าตลาดสูงอาจราคาต่อหน่วยต่ำถ้าแบ่งหุ้นบ่อย

6. การแตกพาร์ (Stock Split) มีผลกระทบอย่างไรต่อราคาหุ้นและนักลงทุน?

การแบ่งหุ้นช่วยเพิ่มจำนวนหุ้นและลดราคาต่อหน่วย ทำให้เข้าถึงง่ายขึ้น สร้างสภาพคล่องสูงและดึงดูดนักลงทุนใหม่ แต่ไม่เปลี่ยนมูลค่าตลาดรวมหรือสัดส่วนการถือครองของผู้ถือเดิม

7. การลงทุนในหุ้นที่มีราคาสูง มีความเสี่ยงหรือข้อควรระวังอะไรเป็นพิเศษหรือไม่?

ต้องระวังทุนที่ต้องใช้มาก สภาพคล่องต่ำ และความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน กฎหมายต่างประเทศ กับภาษี ควรศึกษาดีและกระจายความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบ

8. หากมีงบประมาณจำกัด นักลงทุนไทยมีทางเลือกอื่นในการเข้าถึงบริษัทคุณภาพสูงเหล่านี้อย่างไร?

ทางเลือกคือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่เน้นหุ้นต่างชาติหรือชั้นนำ ETF ที่ติดตามตลาดใหญ่ หรือ Fractional Shares ถ้ามีบริการ เพื่อให้ทุนน้อยก็เข้าถึงได้

9. โบรกเกอร์ไทยหรือแพลตฟอร์มใดบ้างที่ช่วยให้เราลงทุนในหุ้นต่างประเทศได้?

โบรกเกอร์ไทยหลายรายที่ได้รับอนุมัติ เช่น หลักทรัพย์บัวหลวง, หลักทรัพย์กสิกรไทย, หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) รวมถึงบางแพลตฟอร์มต่างประเทศที่รองรับคนไทย ควรเช็คเงื่อนไขและค่าธรรมเนียมแต่ละแห่ง

10. การลงทุนในหุ้นต่างประเทศสำหรับคนไทย มีเรื่องภาษีหรือกฎระเบียบใดที่ต้องทราบ?

ต้องพิจารณาภาษีเงินปันผลและกำไรจากการขาย ซึ่งอาจหัก ณ ที่จ่ายต่างประเทศ และนำมาคำนวณภาษีไทยตามกฎหมาย บวกกับกฎการโอนเงินข้ามชาติ แนะนำปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษีหรือโบรกเกอร์

More From Author

ข่าวเศรษฐกิจ Forex: เทรดเดอร์ไทยต้องรู้! ใช้ข่าวเศรษฐกิจทำกำไรในตลาดผันผวน

เงินเยนแข็งค่า: 5 สาเหตุหลัก ผลกระทบต่อไทย และกลยุทธ์รับมือที่คุณต้องรู้!

發佈留言

近期留言

尚無留言可供顯示。