ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: 3 ประเภท MA พร้อมกลยุทธ์ทำกำไร เพื่อการลงทุนที่แม่นยำ

บทนำ: ทำไมค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่จึงเป็นหัวใจสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิค

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนและเทรดเดอร์ทั่วโลกชื่นชอบและนำไปใช้กันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะในตลาดหุ้น, Forex หรือสินค้าโภคภัณฑ์ ก็ช่วยให้มองเห็นแนวโน้มราคาได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยกรองสัญญาณรบกวนจากความผันผวนระยะสั้นออกไป ทำให้การตัดสินใจลงทุนมีประสิทธิภาพและแม่นยำกว่าเดิม การเข้าใจหลักการและวิธีนำไปใช้ จึงกลายเป็นพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับผู้ที่อยากประสบความสำเร็จในการลงทุน

illustration of a stock chart with a smooth moving average line showing a clear trend with scattered noisy price data

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คืออะไร หลักการพื้นฐานที่ควรรู้

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่คือการนำราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ในช่วงเวลาย้อนหลังมาพล็อตเป็นเส้นบนกราฟ เพื่อทำให้การเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนดูเรียบขึ้น และเผยให้เห็นทิศทางแนวโน้มที่แท้จริง เช่น ถ้าใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 10 วัน ก็จะคำนวณจากราคาปิดเฉลี่ยของ 10 วันก่อนหน้า แล้วอัปเดตทุกวัน เส้นนี้ช่วยบอกว่าราคากำลังไปทางไหน ไม่ว่าจะขึ้น, ลง หรือเคลื่อนในกรอบแคบโดยไม่มีทิศทางชัดเจน

ด้วยคุณสมบัติที่เคลื่อนตามราคา มันจึงเหมาะสำหรับการหาแนวโน้ม แต่เพราะคำนวณจากข้อมูลเก่า จึงจัดเป็นตัวชี้วัดที่ตามหลัง หรือ lagging indicator ที่จะยืนยันแนวโน้มหลังจากเริ่มต้นไปแล้วสักพัก

illustration of a financial graph with price candles and a moving average line smoothing out the fluctuations revealing the underlying trend

ประเภทของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ SMA, EMA และ WMA ต่างกันอย่างไร

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไม่ได้มีรูปแบบเดียว แต่ละแบบมีวิธีคำนวณต่างกันเล็กน้อย จึงเหมาะกับสถานการณ์ที่แตกต่าง ประเภทหลักที่ใช้กันมากคือแบบง่าย หรือ SMA และแบบเอ็กซ์โพเนนเชียล หรือ EMA นอกจากนี้ยังมีแบบถ่วงน้ำหนัก หรือ WMA ที่น่าสนใจด้วย

illustration showing three distinct moving average lines SMA EMA WMA on a single stock chart highlighting their different responsiveness

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่าย หรือ SMA

SMA เป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด โดยนำราคาปิดย้อนหลังตามจำนวนวันหรือช่วงเวลาที่กำหนดมารวมกันแล้วหารด้วยจำนวนนั้น

สูตรคือ: SMA = (P1 + P2 + … + Pn) / n โดย P คือราคาปิดแต่ละวัน และ n คือจำนวนวัน เช่น 10 วันหรือ 50 วัน

จุดเด่นคือเข้าใจง่ายและช่วยเห็นแนวโน้มชัดเจนโดยไม่ยุ่งยาก แต่ข้อจำกัดคือให้ความสำคัญกับราคาทุกวันเท่ากัน จึงตอบสนองช้ากับการเปลี่ยนแปลงล่าสุด

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล หรือ EMA

EMA แตกต่างตรงที่ให้น้ำหนักกับราคาล่าสุดมากกว่า ทำให้ไวต่อการเปลี่ยนแปลงปัจจุบันและจับแนวโน้มใหม่ได้เร็วกว่า SMA

สูตรของ EMA ซับซ้อนกว่า โดยใช้ตัวคูณถ่วงน้ำหนักเพื่อให้ราคาล่าสุดมีบทบาทมาก ข้อดีคือตอบสนองเร็ว เหมาะกับเทรดเดอร์ที่อยากจับจังหวะตลาดไว แต่ก็เสี่ยงสัญญาณหลอกมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดผันผวน

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก หรือ WMA

WMA คล้าย EMA ที่เน้นราคาล่าสุด แต่ใช้วิธีถ่วงน้ำหนักต่างกัน โดยให้ค่าน้ำหนักสูงสุดกับวันใกล้เคียงที่สุดและลดลงตามลำดับ มันตอบสนองเร็วกว่า SMA แต่ช้ากว่า EMA เล็กน้อย แม้ไม่ฮิตเท่าสองแบบแรก แต่ก็เป็นตัวเลือกดีสำหรับกลยุทธ์บางอย่าง

วิธีคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ จากทฤษฎีสู่ปฏิบัติจริง

การคำนวณเองไม่ยาก โดยเฉพาะ SMA ที่ช่วยให้เข้าใจหลักการชัดเจน แม้ปัจจุบันโปรแกรมเทรดจะทำอัตโนมัติ แต่การลองคำนวณจะทำให้เห็นภาพรวมดีขึ้น

ตัวอย่างคำนวณ SMA 5 วัน: สมมติราคาปิดหุ้น 5 วันแรกคือ วันที่ 1: 100 บาท, วันที่ 2: 102 บาท, วันที่ 3: 103 บาท, วันที่ 4: 105 บาท, วันที่ 5: 108 บาท

SMA วันที่ 5 = (100 + 102 + 103 + 105 + 108) / 5 = 518 / 5 = 103.6 บาท

ถ้าวันที่ 6 ราคาปิด 110 บาท SMA ใหม่จะใช้ข้อมูลวันที่ 2-6: (102 + 103 + 105 + 108 + 110) / 5 = 528 / 5 = 105.6 บาท

เห็นไหมว่าข้อมูลใหม่เข้ามา ข้อมูลเก่าก็หลุดออกไป นี่คือเหตุผลที่เรียกว่า “เคลื่อนที่”

สำหรับ EMA ซับซ้อนกว่าเพราะต้องใช้ค่าถ่วงน้ำหนักและ EMA วันก่อน แต่หลักคือเน้นราคาล่าสุดมากขึ้น ทำให้ไวต่อราคา ถ้าอยากรู้สูตรละเอียด สามารถค้นหาวิธีคำนวณใน Excel จากแหล่งข้อมูลออนไลน์ได้ง่ายๆ

กลยุทธ์เทรดด้วยค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ สัญญาณซื้อขายที่ต้องจับตา

นอกจากเป็นเส้นบนกราฟ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ยังช่วยหาสัญญาณซื้อขายสำคัญได้ดี การรู้จักกลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้นำไปใช้ตัดสินใจลงทุนได้จริง

การหาแนวโน้มตลาด

ประโยชน์หลักคือช่วยระบุแนวโน้มได้เร็วและง่าย:

  • แนวโน้มขาขึ้น: ราคาอยู่เหนือเส้น MA และเส้นชี้ขึ้น แสดงถึงแนวโน้มขึ้นที่แข็งแกร่ง
  • แนวโน้มขาลง: ราคาอยู่ใต้เส้นและเส้นชี้ลง บ่งบอกแนวโน้มลง
  • ตลาดไร้ทิศทาง: เส้นเคลื่อนแนวนอน ราคาตัดเส้นบ่อย แสดงถึงช่วง sideway

ใช้ MA เป็นแนวรับแนวต้านแบบไดนามิก

MA ยังทำหน้าที่แนวรับแนวต้านที่ปรับตามราคา:

  • แนวรับ: ในขาขึ้น ราคาย่อลงมาทดสอบ MA แล้วเด้งขึ้น
  • แนวต้าน: ในขาลง ราคาเด้งขึ้นทดสอบ MA แล้วลงต่อ

สัญญาณ Golden Cross และ Death Cross

สัญญาณดังที่เกิดจากการตัดกันของ MA สองเส้นต่างช่วงเวลา:

  • Golden Cross: MA ระยะสั้น เช่น 50 วัน ตัดขึ้นเหนือ MA ระยะยาว เช่น 200 วัน สัญญาณซื้อที่บ่งชี้ขาขึ้น
  • Death Cross: MA ระยะสั้นตัดลงใต้ MA ระยะยาว สัญญาณขายที่บ่งชี้ขาลง

ทั้งสองเป็นสัญญาณสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแนวโน้มหลัก

กลยุทธ์ใช้ MA ระยะสั้น กลาง ยาว

เลือกช่วงเวลาให้เหมาะกับสไตล์เทรด:

  • ระยะสั้น: MA 5, 10, 20 วัน สำหรับเดย์เทรดหรือจับจังหวะเร็ว
  • ระยะกลาง: MA 50, 100 วัน สำหรับสวิงเทรดหรือแนวโน้มชัด
  • ระยะยาว: MA 200 วัน สำหรับนักลงทุนระยะยาวดูแนวโน้มใหญ่

การนำค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ไปใช้ในตลาดไทย หุ้น Forex และอื่นๆ

ในตลาดไทย การใช้ MA คล้ายตลาดโลก แต่มีจุดพิเศษที่นักลงทุนไทยควรคำนึง

เลือกช่วงเวลา MA สำหรับตลาดหุ้นไทย SET

ตลาด SET มีลักษณะเฉพาะ เช่น สภาพคล่องหุ้นบางตัวหรือพฤติกรรมนักลงทุนไทย การเลือกช่วงเวลาจึงสำคัญ

ช่วงเวลายอดนิยมคือ:

  • ระยะสั้น: MA 10, 25 วัน สำหรับดูแรงซื้อขายสั้น
  • ระยะกลาง: MA 75 วัน สำหรับแนวโน้มกลางของหุ้นไทย
  • ระยะยาว: MA 200 วัน สำหรับแนวโน้มใหญ่

ในทางปฏิบัติ ควรทดลองปรับค่าและดูกราฟหุ้นที่สนใจ นอกจากนี้ การเข้าใจตลาดโดยรวมก็ช่วยได้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีบทเรียนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่เป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนไทย

ใช้ MA ในการเทรด Forex และสินค้าโภคภัณฑ์

MA ยังมีประสิทธิภาพสูงใน Forex และสินค้าโภคภัณฑ์ที่เคลื่อนไหว 24 ชั่วโมง

ใน Forex เทรดเดอร์ไทยมักเลือก EMA เพราะไวต่อราคา เหมาะกับเทรดสั้นหรือเดย์เทรด

แพลตฟอร์มอย่าง MT4/MT5 มี MA ในตัวที่ตั้งค่าง่าย นักลงทุนไทยที่สนใจควรศึกษาการตั้งค่า

ข้อควรระวัง: เทรด Forex ในไทยต้องใช้โบรกเกอร์ที่ถูกกำกับดูแล และตระหนักถึงความเสี่ยงจากความผันผวน

ข้อควรระวังและข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่

แม้ MA จะมีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะ lagging ที่อาจนำไปสู่สัญญาณหลอกและการตัดสินใจผิด

  • ภาวะล้าหลัง: คำนวณจากข้อมูลเก่า จึงยืนยันแนวโน้มช้า อาจพลาดโอกาสต้นหรือออกช้า
  • สัญญาณหลอก: ในตลาด sideway ราคาตัดเส้นบ่อย สร้างสัญญาณปลอมที่นำขาดทุน
  • ละเลยพื้นฐาน: เป็นเทคนิค ไม่ดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรือเศรษฐกิจ อาจพลาดข้อมูลสำคัญระยะยาว
  • ตั้งค่าผิดหรือมองข้ามสภาพคล่อง: ในหุ้นไทยขนาดเล็กที่มีสภาพคล่องต่ำ MA อาจไม่แม่นเพราะราคาผันผวนง่าย
  • เชื่อในค่าเฉลี่ยวิเศษ: ไม่มีค่าที่ใช้ได้ทุกตลาด ควรทดลองปรับให้เหมาะกับสินทรัพย์

การรวมค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่กับเครื่องมือวิเคราะห์อื่น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เพื่อชดเชยข้อจำกัดและเพิ่มความแม่นยำ การผสม MA กับเครื่องมือเทคนิคอื่นเป็นกลยุทธ์หลัก นักลงทุนเก่งมักใช้หลายตัวเพื่อยืนยันสัญญาณ

เครื่องมือที่นิยมรวมคือ:

  • RSI: ชี้โมเมนตัม overbought/oversold ถ้า MA สัญญาณซื้อแต่ RSI overbought อาจเป็นหลอก
  • MACD: ใช้ MA สองเส้นคำนวณความสัมพันธ์ ช่วยยืนยันแนวโน้มและสัญญาณ
  • Bollinger Bands: มี MA กลางและแบนด์รอบๆ ตามความผันผวน ช่วยดูช่วงราคาและจุดกลับตัว
  • Volume: ดูปริมาณซื้อขายคู่ MA ถ้าตัดเส้นพร้อม volume สูง สัญญาณน่าเชื่อถือ

ตัวอย่าง: ถ้า Golden Cross เกิดขึ้น พร้อม RSI ขึ้นจาก oversold และ volume พุ่ง สัญญาณนี้แข็งแกร่งกว่าดู MA อย่างเดียว

นักลงทุนไทยมือโปร มักสร้างระบบเทรดที่รวมตัวชี้วัดเหล่านี้ เพื่อกรอง noise และเพิ่มโอกาสชนะ การเรียนรู้ที่จะผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้ อย่างชาญฉลาดจะช่วยให้มองตลาดรอบด้านและตัดสินใจมั่นใจ

สรุป: ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ให้เกิดประโยชน์ สร้างโอกาสลงทุน

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือพื้นฐานแต่ทรงพลังในวิเคราะห์เทคนิค ช่วยหาแนวโน้ม, แนวรับต้าน และสัญญาณซื้อขาย ไม่ว่าจะ SMA ที่เรียบง่ายหรือ EMA ที่ไว การเข้าใจการทำงานและกลยุทธ์คือกุญแจสู่ความสำเร็จในการลงทุน

แต่ต้องจำข้อจำกัดอย่าง lagging และสัญญาณหลอกในตลาดไร้ทิศทาง การรวมกับเครื่องมืออื่นอย่าง RSI, MACD หรือ Bollinger Bands จะยกระดับความแม่นยำ

สำหรับนักลงทุนไทย การปรับ MA ให้เข้ากับ SET หรือ Forex ในไทยสำคัญมาก การเรียนรู้ต่อเนื่อง, ฝึกฝน และปรับกลยุทธ์ตามตลาดที่เปลี่ยน จะช่วยใช้ MA เต็มศักยภาพ สร้างโอกาสลงทุนยั่งยืน

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (MA) ที่นิยมใช้ในตลาดหุ้นไทยมีค่าเท่าไหร่บ้าง?

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่นิยมใช้ในตลาดหุ้นไทย ได้แก่ MA 10, 20 หรือ 25 วัน สำหรับระยะสั้น MA 50 หรือ 75 วัน สำหรับระยะกลาง และ MA 100 หรือ 200 วัน สำหรับระยะยาว โดย MA 75 และ 200 วันมักใช้เป็นแนวโน้มหลักที่สำคัญ

ควรเลือกใช้ SMA หรือ EMA ดีกว่ากันสำหรับการเทรดระยะสั้นในตลาด Forex ของไทย?

สำหรับการเทรดระยะสั้นในตลาด Forex ของไทย มักแนะนำให้ใช้ EMA (Exponential Moving Average) มากกว่า SMA เนื่องจาก EMA ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่า ทำให้มีการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่รวดเร็วกว่า SMA ซึ่งเหมาะกับการจับจังหวะการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของตลาด Forex อย่างไรก็ตาม การทดลองใช้ทั้งสองแบบและหาค่าที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณเป็นสิ่งสำคัญ

Golden Cross และ Death Cross คืออะไร และมีวิธีตีความอย่างไรในสถานการณ์ตลาดจริง?

Golden Cross: เกิดขึ้นเมื่อ MA ระยะสั้น (เช่น 50 วัน) ตัดขึ้นเหนือ MA ระยะยาว (เช่น 200 วัน) เป็นสัญญาณซื้อที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาขึ้นที่กำลังจะเริ่มต้นหรือมีความแข็งแกร่ง
Death Cross: เกิดขึ้นเมื่อ MA ระยะสั้นตัดลงต่ำกว่า MA ระยะยาว เป็นสัญญาณขายที่บ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลงที่กำลังจะเริ่มต้นหรือมีความแข็งแกร่ง
ในสถานการณ์จริง สัญญาณเหล่านี้ควรใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น RSI หรือ Volume เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ และตระหนักว่ามันเป็นตัวชี้วัดแบบตามหลัง

การตั้งค่า Moving Average ในโปรแกรมซื้อขายหุ้นหรือ MT5 ทำได้อย่างไร?

โดยทั่วไปแล้ว การตั้งค่า Moving Average ในโปรแกรมซื้อขายหุ้นหรือ MT5 จะทำได้โดยการเลือกแท็บ “Indicators” หรือ “เครื่องมือวิเคราะห์” จากนั้นเลือก “Trend” และเลือก “Moving Average” คุณสามารถเลือกประเภท (SMA, EMA, WMA), ช่วงเวลา (Period) และสีของเส้นได้ตามต้องการ ดูคู่มือการตั้งค่า Moving Average ใน MT5 เพื่อความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สามารถใช้ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น RSI หรือ MACD ได้หรือไม่?

ได้แน่นอน การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพียงอย่างเดียวอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอกได้ง่าย การผสาน MA เข้ากับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น RSI (เพื่อดูภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป) หรือ MACD (เพื่อยืนยันแนวโน้มและโมเมนตัม) จะช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณซื้อขายและลดความเสี่ยงลงได้มาก นักลงทุนมืออาชีพมักใช้หลายตัวชี้วัดร่วมกันเพื่อยืนยันการตัดสินใจ

ถ้าใช้ MA แล้วราคาเคลื่อนที่ออกไปจากเส้นมาก ๆ หมายความว่าอย่างไร?

เมื่อราคาเคลื่อนที่ออกห่างจากเส้น MA มากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อราคาอยู่เหนือ MA มากๆ ในแนวโน้มขาขึ้น หรืออยู่ต่ำกว่า MA มากๆ ในแนวโน้มขาลง แสดงว่าสินทรัพย์นั้นอาจอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงโอกาสที่ราคาจะเกิดการย่อตัวหรือกลับตัวเข้าหาเส้น MA ในไม่ช้า อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ยืนยันการกลับตัวเสมอไป และควรใช้ร่วมกับตัวชี้วัดโมเมนตัมอื่นๆ

มีข้อควรระวังอะไรบ้างในการใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เพื่อตัดสินใจลงทุนในตลาดไทย?

  • ภาวะล้าหลัง: MA เป็นตัวชี้วัดตามหลัง ทำให้สัญญาณอาจมาช้าเกินไป
  • สัญญาณหลอก: ในตลาด Sideways มักเกิดสัญญาณซื้อขายปลอมบ่อยครั้ง
  • ความผันผวนของหุ้นไทย: หุ้นบางตัวใน SET มีสภาพคล่องต่ำหรือมีการปั่นราคาได้ง่าย ทำให้ MA อาจไม่แม่นยำนัก
  • การละเลยปัจจัยพื้นฐาน: ควรพิจารณาพื้นฐานของบริษัทควบคู่ไปกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเสมอ
  • การบริหารความเสี่ยง: ไม่ว่าเครื่องมือใดๆ ก็ไม่สามารถรับประกันผลกำไรได้ 100% ควรมีแผนบริหารความเสี่ยงและเงินทุนที่ชัดเจน

ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก (WMA) แตกต่างจาก SMA และ EMA อย่างไร และเหมาะกับการใช้งานแบบไหน?

WMA คล้ายกับ EMA ตรงที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่า แต่ใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักที่แตกต่างกัน โดย WMA จะกำหนดน้ำหนักให้กับข้อมูลที่ใกล้ที่สุดอย่างเป็นสัดส่วน (เช่น วันที่ใกล้สุดมีน้ำหนัก 5, วันรองลงมาน้ำหนัก 4, … ไปจนถึง 1) ในขณะที่ EMA ใช้วิธีคำนวณแบบ Exponential ทำให้ EMA ตอบสนองได้เร็วกว่า WMA เพียงเล็กน้อย WMA เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการความไวที่มากกว่า SMA แต่ยังคงต้องการความเข้าใจในการถ่วงน้ำหนักที่ชัดเจนกว่า EMA

นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นเรียนรู้การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างไร?

นักลงทุนมือใหม่ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานของ SMA และ EMA ว่าคืออะไรและทำงานอย่างไร จากนั้นลองพล็อต MA บนกราฟราคาของหุ้นที่คุ้นเคย และสังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาเทียบกับเส้น MA ลองใช้ MA ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน เช่น 10, 50, 200 วัน เพื่อดูว่าเส้นไหนที่เหมาะสมกับสินทรัพย์นั้นๆ มากที่สุด สุดท้าย ควรฝึกใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่นๆ และเริ่มต้นด้วยเงินลงทุนจำนวนน้อย หรือใช้บัญชีจำลอง (Demo Account) ก่อนลงทุนจริง

การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สำหรับหุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำใน SET มีข้อจำกัดหรือไม่?

มีข้อจำกัดอย่างมาก หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำใน SET มักจะมีปริมาณการซื้อขายไม่มากนัก ทำให้ราคาสามารถถูกปั่นป่วนได้ง่ายด้วยคำสั่งซื้อขายจำนวนน้อย เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่คำนวณจากข้อมูลเหล่านี้อาจไม่สะท้อนแนวโน้มที่แท้จริง และอาจสร้างสัญญาณหลอกได้บ่อยครั้ง ทำให้การตัดสินใจลงทุนผิดพลาดได้ง่าย จึงไม่แนะนำให้ใช้ MA เป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์หุ้นที่มีสภาพคล่องต่ำ ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานและข้อมูลเชิงคุณภาพอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

More From Author

สินค้าโภคภัณฑ์ คืออะไร? เจาะลึก 4 กลุ่มหลัก ทำไมต้องลงทุน และช่องทางสำหรับนักลงทุนไทย

แนวโน้มค่าเงินดอลล่าร์ 2566: ปัจจัยอะไรทำให้ผันผวน? พร้อมกลยุทธ์รับมือ 2567-2568

發佈留言