Leverage Trading คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน
การเทรดด้วยเลเวอเรจ หรือที่รู้จักกันในชื่อ Leverage Trading ถือเป็นวิธีการลงทุนที่ช่วยให้นักลงทุนควบคุมตำแหน่งในตลาดได้มากกว่าทุนที่ตัวเองมีจริง โดยอาศัยการกู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์ แล้วใช้ส่วนหนึ่งของทุนส่วนตัวเป็นหลักประกันหรือที่เรียกว่ามาร์จิ้น พื้นฐานของแนวคิดนี้คือการนำเงินจำนวนไม่มากมาสร้างผลกำไรที่อาจเพิ่มพูนได้อย่างชัดเจน แม้ราคาในตลาดจะขยับเพียงเล็กน้อย

ในทางปฏิบัติ เลเวอเรจเปรียบดั่งเครื่องมือที่ช่วยขยายขอบเขตการซื้อขายของคุณให้กว้างขึ้น ลองนึกภาพถ้าคุณเลือกใช้เลเวอเรจแบบ 1:100 หมายความว่าเงิน 1 บาทที่ลงทุนไป สามารถจัดการสินทรัพย์มูลค่า 100 บาทได้ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผลตอบแทนพุ่งสูงเมื่อการวิเคราะห์ของคุณตรงกับทิศทางตลาด

แต่ต้องอย่าลืมว่ามันก็เหมือนดาบสองคมที่อาจขยายความเสียหายได้เช่นกัน ถ้าตลาดหันหลังให้กับตำแหน่งที่คุณเปิดไว้ การขาดทุนก็จะทวีคูณตามอัตราส่วนเดียวกัน เพราะฉะนั้นก่อนจะลงสนามจริง การทำความรู้จักพื้นฐานของ Leverage Trading จึงจำเป็นมากเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น

กลไกการทำงานของ Leverage Trading: มาร์จิ้นคอลและการบังคับขาย
กระบวนการของ Leverage Trading เริ่มต้นด้วยการสมัครบัญชีกับโบรกเกอร์ที่ให้บริการ แล้วฝากเงินทุนเริ่มต้นซึ่งทำหน้าที่เป็นมาร์จิ้นหรือหลักประกัน โบรกเกอร์จะใช้เงินนี้ครอบคลุมความเสี่ยงที่อาจเกิด เมื่อคุณต้องการเข้าเปิดออเดอร์ซื้อขาย โบรกเกอร์จะปล่อยเลเวอเรจหรือเงินกู้ยืม เพื่อให้คุณจัดการตำแหน่งที่ใหญ่เกินกว่าทุนจริงที่ถืออยู่
ระหว่างที่ออเดอร์ยังเปิดค้าง โบรกเกอร์จะติดตามมาร์จิ้นส่วนที่เหลือใช้ได้หรือฟรีมาร์จิ้นอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นส่วนที่คุณยังนำไปใช้เปิดตำแหน่งใหม่ได้ ถ้าตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาด ฟรีมาร์จิ้นก็จะค่อยๆ ลดลงตามความขาดทุนที่สะสม
พอขาดทุนรุนแรงจนมาร์จิ้นเหลือต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์ตั้งไว้ คุณจะได้รับแจ้งเตือนมาร์จิ้นคอล เพื่อเติมเงินเพิ่มและรักษาตำแหน่ง ถ้าไม่ทำตาม โบรกเกอร์อาจดำเนินการบังคับขายหรือลิควิเดชัน โดยปิดออเดอร์ทั้งหมดอัตโนมัติ เพื่อป้องกันหนี้สินเกินตัว สถานการณ์แบบนี้มักเกิดเมื่อฟรีมาร์จิ้นเหลือเพียง 50% หรือ 20% ของมาร์จิ้นที่จำเป็น
นอกจากนี้ การรู้จักอัตราส่วนเลเวอเรจก็สำคัญไม่แพ้กัน เช่น 1:100 หมายถึงใช้ทุน 1 หน่วยควบคุมสินทรัพย์ 100 หน่วย ถ้าเปิดตำแหน่งมูลค่า 10,000 ดอลลาร์ด้วยอัตราดังกล่าว คุณต้องใช้มาร์จิ้นแค่ 100 ดอลลาร์ แต่การเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อยก็อาจกระทบทุนของคุณอย่างหนักหน่วง
ประโยชน์และโอกาสของ Leverage Trading
Leverage Trading กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนที่ชำนาญ เพราะมันเปิดประตูสู่โอกาสที่น่าตื่นเต้น หากนำไปใช้อย่างถูกต้อง ประโยชน์หลักที่เห็นได้ชัด ได้แก่
-
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทุน: นี่คือจุดเด่นที่ชัดเจน เลเวอเรจช่วยให้คุณจัดการตำแหน่งใหญ่เกินทุนจริง ทำให้ไม่ต้องมีเงินก้อนโตก็เข้าร่วมตลาดใหญ่ได้ คุณสามารถนำทุนน้อยๆ มาสร้างผลตอบแทนสูงสุด โดยไม่ต้องนั่งรอสะสมเงินนานๆ
-
ศักยภาพกำไรที่เพิ่มขึ้น: ถ้าตลาดไปตามที่คุณคาด แม้ราคาขยับแค่นิดเดียว เลเวอเรจก็จะขยายกำไรให้เด่นชัด เช่น ราคาหุ้นขึ้น 1% กับเลเวอเรจ 1:10 คุณจะได้ผลตอบแทนถึง 10% จากทุนที่ลงไปจริง ซึ่งเป็นโอกาสที่หาไม่ได้จากการลงทุนปกติ
-
ความยืดหยุ่นในการปรับตัว: คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขึ้นและลง โดยซื้อหรือขายชอร์ตตามสถานการณ์ ช่วยให้กลยุทธ์ลงทุนเข้ากับตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ดี นอกจากนี้ ยังนำมาใช้ป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากประโยชน์เหล่านี้ Leverage Trading จึงได้รับความนิยมจากนักลงทุนที่อยากเพิ่มผลตอบแทนและใช้ทุนให้คุ้มค่า แต่จำไว้ว่าโอกาสใหญ่ก็มาพร้อมความเสี่ยงที่ต้องจัดการให้ดี
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดด้วย Leverage
ถึงแม้ Leverage Trading จะเปิดโอกาสกำไรสูง แต่ความเสี่ยงที่ตามมาก็รุนแรงไม่แพ้กัน นักลงทุนทุกคนควรตระหนักและศึกษาอย่างละเอียดเพื่อไม่ให้พลาดท่า
-
ขาดทุนเกินทุนเริ่มต้น: นี่คือจุดอันตรายหลัก เลเวอเรจขยายขาดทุนได้เท่ากับกำไร ถ้าตลาดพลิกผันรุนแรง คุณอาจเสียมากกว่ามาร์จิ้นที่วางไว้ จนกลายเป็นหนี้โบรกเกอร์ แม้หลายโบรกเกอร์จะมีระบบป้องกันยอดติดลบ แต่ไม่ใช่ทุกแห่งจะครอบคลุม
-
ผลจากความผันผวนตลาด: ตลาดที่แกว่งตัวแรง ราคาอาจพุ่งขึ้นลงฉับพลัน การใช้เลเวอเรจในช่วงนี้ยิ่งเสี่ยงโดนมาร์จิ้นคอลหรือลิควิเดชันง่าย แม้ราคาแค่ขยับนิดเดียวก็กระทบหนัก
-
มาร์จิ้นคอลและบังคับขาย: ถ้าทุนในบัญชีต่ำกว่าระดับที่กำหนด คุณจะถูกเรียกเติมเงิน ถ้าไม่ทัน สถานะจะถูกปิดอัตโนมัติ ส่งผลให้ขาดทุนจริงและเสียโอกาสพลิกเกม
-
จิตวิทยาการเทรด: เลเวอเรจมักกระตุ้นอารมณ์ เช่น โลภเมื่อกำไรพุ่ง หรือกลัวเมื่อขาดทุนหนัก การตัดสินใจจากอารมณ์อาจนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่ เช่น เปิดตำแหน่ง oversized หรือไม่ยอมตัดขาดทุน
เพราะเหตุนี้ นักลงทุนที่เล่น Leverage ต้องมีองค์ความรู้ลึกซึ้ง วางแผนชัดเจน และยึดมั่นในวินัยจัดการความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด เพื่อให้การเทรดยั่งยืน
กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงสำหรับ Leverage Trading
การจัดการความเสี่ยงคือกุญแจสู่ความสำเร็จในการใช้เลเวอเรจ เพราะช่วยลดโอกาสขาดทุนและปกป้องทุนของคุณให้ปลอดภัย กลยุทธ์สำคัญที่ควรนำไปใช้ ได้แก่
-
ตั้งจุดตัดขาดทุนและทำกำไรอย่างเคร่งครัด: นี่คือพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ Stop Loss ช่วยปิดออเดอร์อัตโนมัติเมื่อราคาแตะระดับที่ยอมรับได้ เพื่อจำกัดความเสียหาย ส่วน Take Profit ล็อกกำไรเมื่อถึงเป้า การใช้สองตัวนี้ช่วยให้เทรดด้วยเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์
-
กำหนดขนาดตำแหน่งให้เหมาะสม: หลีกเลี่ยงการเปิดออเดอร์ใหญ่เกินทุน ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ต่อครั้ง เพื่อให้ทุนทนต่อการแกว่งของตลาดได้ โดยไม่ล้มทั้งยวง
-
กระจายความเสี่ยงและสำรองทุน: อย่าทุ่มหมดหน้าตักกับออเดอร์เดียว ลองกระจายไปยังสินทรัพย์หรือกลยุทธ์หลากหลาย การมีทุนสำรองในบัญชียังช่วยรับมือมาร์จิ้นคอลหรือเปิดโอกาสใหม่ได้ดี
-
เรียนรู้และฝึกฝนไม่หยุด: ความรู้คืออาวุธสำคัญ ศึกษาตลาด สินทรัพย์ที่สนใจ และวิธีจัดการความเสี่ยงให้ละเอียด การทดลองกับบัญชีเดโมก่อนลงเงินจริง ช่วยให้คุณชินกับระบบและทดสอบแผนโดยไม่เสียหาย
เมื่อรวมกลยุทธ์เหล่านี้เข้าด้วยกัน คุณจะใช้ Leverage Trading ได้อย่างชาญฉลาด ลดความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด และเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในระยะยาว
Leverage Trading ในตลาดการเงินไทย: โอกาสและความท้าทาย
สำหรับนักลงทุนในไทย การเข้าถึง Leverage Trading มีทั้งด้านบวกและจุดที่ต้องระวัง เพื่อให้เข้าใจให้ลึกซึ้ง ปัจจุบัน ช่องทางหลักที่เปิดกว้าง ได้แก่
-
ตลาด Forex และ CFD: นี่คือทางเลือกยอดนิยมสำหรับคนไทย โดยใช้โบรกเกอร์ต่างประเทศ เนื่องจากโบรกเกอร์ในประเทศยังไม่ได้รับอนุญาตให้บริการตรงๆ แต่การเลือกต้องพิจารณาความน่าเชื่อถือ การกำกับดูแล และความปลอดภัยของทุนให้รอบคอบ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง
-
ตลาดหุ้นไทยผ่านมาร์จิ้น: คุณสามารถใช้มาร์จิ้นซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ได้ แต่เลเวอเรจจะต่ำกว่าต่างประเทศมาก อยู่ภายใต้การดูแลเข้มงวดของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือ ก.ล.ต. โดยทั่วไปอัตราจะอยู่ที่ 1:2 หรือ 1:3 ซึ่งช่วยควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบ
บทบาทของ ก.ล.ต. ในการกำกับดูแล:
ก.ล.ต. หรือ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ มีหน้าที่ปกป้องนักลงทุนและดูแลตลาดทุนไทยอย่างใกล้ชิด โดยออกกฎระเบียบเพื่อจำกัดความเสี่ยง โดยเฉพาะเลเวอเรจในหุ้นไทย ที่มีมาตรการเข้มเพื่อป้องกันหนี้สินเกินตัวสำหรับรายย่อย สำหรับ Forex และ CFD กับโบรกเกอร์ต่างชาติ ก.ล.ต. ไม่ได้รับรองโดยตรง ดังนั้นคุณต้องรับผิดชอบความเสี่ยงเองทั้งหมด
ข้อควรระวังในการเลือกโบรกเกอร์ต่างประเทศ:
การคัดเลือกโบรกเกอร์ต่างชาติสำหรับ Leverage Trading ต้องพิจารณาให้ละเอียด เพื่อความมั่นใจ
- การกำกับดูแล: ควรอยู่ภายใต้หน่วยงานที่น่าเชื่อถือ เช่น FCA ในสหราชอาณาจักร หรือ ASIC ในออสเตรเลีย
- ชื่อเสียงและประวัติ: ดูรีวิวและความเห็นจากผู้ใช้จริง
- เงื่อนไขการเทรด: เปรียบเทียบสเปรด ค่าคอม และอัตราส่วนเลเวอเรจ
- ระบบการฝาก-ถอน: ตรวจสอบความสะดวก รวดเร็ว และค่าธรรมเนียมสำหรับเงินบาท
- การสนับสนุนลูกค้า: ควรมีทีมที่สื่อสารภาษาไทยได้
การรู้จักข้อจำกัดเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนไทยตัดสินใจได้อย่างมีสติ ลดความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ และเปิดโอกาสให้ลงทุนได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
การเลือกอัตรา Leverage ที่เหมาะสมกับคุณ
การกำหนดอัตราส่วนเลเวอเรจที่ลงตัวคือก้าวสำคัญในการรักษาสมดุลระหว่างกำไรที่หวังและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ไม่มีสูตรตายตัวที่เหมาะกับทุกคน เพราะต้องพิจารณาจากปัจจัยส่วนตัวหลายอย่าง
-
ประสบการณ์ของคุณ: ถ้าเพิ่งเริ่มต้น ควรเลือกเลเวอเรจต่ำๆ อย่าง 1:10 หรือ 1:50 เพื่อเรียนรู้กลไกตลาดโดยไม่เสี่ยงหนัก พอชำนาญและเข้าใจความเสี่ยงดีแล้ว ค่อยปรับเพิ่มทีละน้อย
-
ขนาดทุน: ถ้าทุนมีจำกัด เลเวอเรจสูงอาจดูน่าลอง แต่เสี่ยงโดนมาร์จิ้นคอลเร็ว ถ้ามีทุนสำรองเยอะ สามารถลองเลเวอเรจสูงขึ้นได้ แต่ต้องจัดการให้รัดกุม
-
ความผันผวนของสินทรัพย์: สินทรัพย์อย่างคู่สกุลเงินหลักใน Forex ที่แกว่งน้อย อาจใช้เลเวอเรจสูงได้ แต่สำหรับทองคำหรือหุ้นที่ผันผวนแรง ควรลดอัตราลงเพื่อความปลอดภัย
-
สไตล์การเทรด: ถ้าเทรดสั้นๆ อย่างเดย์เทรดหรือสแกลปิ้ง เลเวอเรจสูงช่วยเก็บกำไรจากขยับเล็ก แต่สำหรับสวิงเทรดที่ยาวนาน ควรใช้ต่ำเพื่อรับมือความแกว่งระยะสั้น
ตัวอย่างการคำนวณอัตรา Leverage และจำนวน Lot ด้วยสกุลเงินบาท:
สมมติคุณเปิดออเดอร์ EUR/USD 1 standard lot หรือ 100,000 หน่วยของสกุลเงินฐาน กับอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ที่ 1.1000 และ 1 USD = 35 บาท
มูลค่าสถานะ = 100,000 EUR x 1.1000 USD/EUR = 110,000 USD
มูลค่าสถานะเป็นเงินบาท = 110,000 USD x 35 บาท/USD = 3,850,000 บาท
| อัตรา Leverage | Margin ที่ต้องใช้ (USD) | Margin ที่ต้องใช้ (บาท) | จำนวน Lot ที่สามารถออกได้ (จากเงินทุน 10,000 บาท) |
|---|---|---|---|
| 1:100 | 110,000 USD / 100 = 1,100 USD | 1,100 USD x 35 = 38,500 บาท | 10,000 / 38,500 = 0.26 Lot |
| 1:200 | 110,000 USD / 200 = 550 USD | 550 USD x 35 = 19,250 บาท | 10,000 / 19,250 = 0.52 Lot |
| 1:500 | 110,000 USD / 500 = 220 USD | 220 USD x 35 = 7,700 บาท | 10,000 / 7,700 = 1.29 Lot |
จากตัวอย่างชัดเจนว่ายิ่งเลเวอเรจสูง คุณยิ่งเปิดตำแหน่งใหญ่ได้จากทุนเท่าเดิม แต่ราคาแค่ขยับนิดเดียวก็อาจสร้างกำไรหรือขาดทุนมหาศาล การเริ่มจากเลเวอเรจต่ำและค่อยๆ ปรับตามประสบการณ์คือทางที่ฉลาดและยั่งยืน
สรุป: Leverage Trading เครื่องมือทรงพลังที่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง
Leverage Trading คือเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยขยายผลตอบแทนจากการลงทุนได้อย่างน่าประทับใจ โดยให้คุณควบคุมตำแหน่งตลาดใหญ่เกินทุนจริง สร้างกำไรจากราคาที่ขยับน้อยนิด แต่เราก็เห็นแล้วว่าพลังนี้มาพร้อมความเสี่ยงรุนแรงที่อาจทำให้ขาดทุนเกินตัว
กุญแจสู่ความสำเร็จคือการศึกษาอย่างละเอียด การจัดการความเสี่ยงด้วยวินัย และควบคุมอารมณ์ในการตัดสินใจ กลยุทธ์อย่างการตั้ง Stop Loss และ Take Profit การกำหนดขนาดตำแหน่งที่เหมาะสม รวมถึงการกระจายความเสี่ยง ล้วนจำเป็นสำหรับนักลงทุนทุกคน
ในบริบทของไทย การรู้จักกฎของ ก.ล.ต. และเลือกโบรกเกอร์ต่างชาติอย่างรอบคอบคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ การเริ่มจากเลเวอเรจต่ำและฝึกกับบัญชีทดลองจะสร้างฐานที่มั่นคงก่อนลงทุนจริง
สุดท้าย Leverage Trading ไม่ใช่สูตรลัดรวยเร็ว แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง หากใช้ด้วยความรู้ ระมัดระวัง และวินัย มันอาจกลายเป็นส่วนสำคัญในพอร์ตลงทุนที่ประสบความสำเร็จของคุณ
Leverage Trading คืออะไร และแตกต่างจากการลงทุนทั่วไปอย่างไร?
Leverage Trading คือการนำทุนส่วนน้อยหรือมาร์จิ้นมาควบคุมออเดอร์ซื้อขายที่ใหญ่กว่าทุนจริง โดยกู้เงินจากโบรกเกอร์ ซึ่งทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนขยายตัว สิ่งนี้ต่างจากการลงทุนปกติที่ใช้เงินเต็มจำนวนซื้อสินทรัพย์ ผลตอบแทนจึงเป็นไปตามมูลค่าจริงโดยไม่มีการขยาย
นักลงทุนไทยสามารถเทรด Leverage ได้อย่างถูกกฎหมายหรือไม่ และต้องระวังอะไรบ้าง?
นักลงทุนไทยใช้ Leverage ได้ถูกกฎหมายผ่านระบบมาร์จิ้นซื้อขายหุ้นกับโบรกเกอร์ในประเทศที่ ก.ล.ต. ดูแล โดยมีอัตราจำกัดเพื่อความปลอดภัย แต่สำหรับ Forex และ CFD กับโบรกเกอร์ต่างชาติ ก.ล.ต. ไม่ได้กำกับโดยตรง คุณต้องรับความเสี่ยงเอง และควรเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ อยู่ภายใต้หน่วยงานสากลเพื่อลดปัญหา
ควรเลือกใช้ Leverage เท่าไหร่ดีสำหรับมือใหม่ และมีผลต่อความเสี่ยงอย่างไร?
มือใหม่ในไทยควรเริ่มด้วยเลเวอเรจต่ำอย่าง 1:10 หรือ 1:50 เพื่อลดความเสี่ยงและเรียนรู้ตลาด เลเวอเรจสูงจะเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนมหาศาล ดังนั้น เน้นศึกษาก่อนค่อยปรับ เพื่อไม่ให้ทุนหายวับในชั่วพริบตา
หากโดน Margin Call หรือบังคับขาย (Liquidation) ต้องทำอย่างไร? มีวิธีป้องกันหรือไม่?
ถ้าโดน Margin Call คุณเลือกเติมทุนเพื่อรักษาออเดอร์ หรือปล่อยให้ลิควิเดชันซึ่งปิดทุกอย่างและยืนยันขาดทุน วิธีป้องกันหลักๆ คือ
- ตั้ง Stop Loss ให้ชัดเจน
- กำหนดขนาดออเดอร์เหมาะสมกับทุน
- สำรองเงินในบัญชีไว้
- หลีกเลี่ยงเลเวอเรจสูงเกิน
โบรกเกอร์ Leverage Trading ที่คนไทยนิยมและปลอดภัยมีที่ไหนบ้าง?
โบรกเกอร์ยอดนิยมสำหรับคนไทยใน Forex/CFD มักเป็นรายต่างชาติที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลอย่าง FCA, ASIC หรือ CySEC ตัวอย่างเช่น eToro, OANDA, XM, Exness แต่ความปลอดภัยขึ้นกับการตรวจสอบของคุณเอง ควรดูการกำกับดูแล รีวิวจากผู้ใช้ และเงื่อนไขเทรดให้ละเอียดก่อนสมัคร
การเทรดทองคำหรือ Forex ด้วย Leverage มีความเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกันอย่างไร?
ทั้งทองคำและ Forex กับ Leverage ขยายผลคล้ายกัน แต่ต่างที่ปัจจัยขับเคลื่อนราคา:
- ทองคำ: ถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ได้รับผลจากนโยบายการเงินโลก เศรษฐกิจแกว่ง เงินเฟ้อ และอุตสาหกรรม ผันผวนสูงในวิกฤต
- Forex: ขึ้นกับเศรษฐกิจประเทศ ดอกเบี้ย นโยบาย และเหตุการณ์การเมือง มีสภาพคล่องสูงกว่า
ทั้งคู่ให้ผลตอบแทนสูงถ้าคาดถูก แต่เสี่ยงขาดทุนหนักตามความผันผวนและเลเวอเรจที่เลือก
Leverage 1:100 หรือ 1:500 คืออะไร? และคำนวณกำไร-ขาดทุนเป็นเงินบาทอย่างไร?
Leverage 1:100 หมายถึงใช้ทุน 1 หน่วยควบคุม 100 หน่วย 1:500 ควบคุม 500 หน่วย ยิ่งสูงยิ่งใช้ทุนน้อยแต่เสี่ยงมาก
ตัวอย่างคำนวณ: เปิด 1 Lot EUR/USD ที่ 1.1000 ปิด 1.1010 (กำไร 10 pips) = 100,000 x 0.0010 = 100 USD กับ 1 USD = 35 บาท = 3,500 บาท ขาดทุนคำนวณแบบเดียวกันแต่ลบ
มีกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงแบบใดบ้างที่เหมาะกับนักลงทุนไทย?
กลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับคนไทย ได้แก่:
- Stop Loss และ Take Profit: จำกัดขาดทุน ล็อกกำไร
- Position Sizing: เสี่ยงไม่เกิน 1-2% ต่อเทรด
- เลเวอเรจต่ำ: โดยเฉพาะมือใหม่
- บัญชีทดลอง: ฝึกก่อนลงจริง
- ติดตามข่าว: อัปเดตเศรษฐกิจและการเมือง
- วินัย: เทรดตามแผน ไม่ใช้อารมณ์
สามารถใช้ Leverage ในตลาดหุ้นไทย (SET) ได้หรือไม่ และมีข้อจำกัดอย่างไร?
ใช้ได้ผ่านบัญชีมาร์จิ้นกับโบรกเกอร์ไทย โดยยืมเงินซื้อหุ้นเกินทุนตัวเอง แต่เลเวอเรจต่ำมาก เช่น 1:1 หรือ 1:2 ภายใต้การดูแลเข้มของ ก.ล.ต. เพื่อปกป้องนักลงทุนจากความเสี่ยงสูง
การใช้ Leverage Trading มีผลต่อการเสียภาษีในประเทศไทยอย่างไรบ้าง?
กำไรจากหุ้น SET มักยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่กำไรจาก Forex/CFD กับโบรกเกอร์ต่างชาติ อาจนับเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4) หรือ 40(8) ของประมวลรัษฎากร ต้องนำคำนวณภาษี โดยแสดงที่มารายได้ชัดเจน กฎภาษีซับซ้อนและเปลี่ยนได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อคำแนะนำที่ถูกต้อง