บทนำ: ETF คืออะไร? ทำไมคนไทยควรลงทุน?
นักลงทุนมือใหม่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือที่รู้จักกันในชื่อ SET มักมองหาวิธีการลงทุนที่ทั้งน่าดึงดูดและให้ผลลัพธ์ดี การเลือก ETF หรือ Exchange Traded Fund ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่ติดตามดัชนี อาจเป็นทางออกที่เหมาะสมสำหรับคุณ กองทุนเหล่านี้ช่วยให้คุณกระจายความเสี่ยงโดยไม่จำเป็นต้องคัดเลือกหุ้นแต่ละตัวจำนวนมาก เพราะสามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้นทั่วไปในตลาด

สิ่งที่ทำให้ ETF น่าสนใจคือการรวมจุดเด่นของหุ้นและกองทุนรวมไว้ด้วยกัน คุณสามารถซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการเหมือนหุ้น แต่ยังคงได้รับประโยชน์จากการกระจายพอร์ตการลงทุนแบบกองทุนรวม นอกจากนี้ ค่าธรรมเนียมการจัดการมักต่ำกว่ากองทุนรวมทั่วไป ซึ่งช่วยให้เหมาะสำหรับผู้ที่หวังผลตอบแทนในระยะยาว ปัจจุบัน คนไทยหันมาสนใจ ETF มากขึ้น เพราะเข้าถึงได้ง่าย โปร่งใส และทำให้การลงทุนในดัชนีตลาดหรืออุตสาหกรรมต่างๆ กลายเป็นเรื่องไม่ยุ่งยาก

รู้จักประเภทของ ETF ก่อนเริ่มซื้อ
หากคุณกำลังคิดจะลงทุนใน ETF สิ่งแรกที่ควรทำคือศึกษาประเภทต่างๆ เพื่อให้เลือกกองทุนที่ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ETF มีหลายรูปแบบที่ออกแบบมาเพื่อติดตามสินทรัพย์หรือดัชนีที่แตกต่างกัน ซึ่งช่วยให้คุณปรับใช้กับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสม

- ETF อิงดัชนี (Index ETF): ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุด โดยมุ่งเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนีตลาด เช่น SET50 ในไทย หรือ S&P 500 ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนตามแนวโน้มตลาดโดยรวม
 - ETF อิงอุตสาหกรรม/กลุ่มธุรกิจ (Sector ETF): เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน เช่น เทคโนโลยี พลังงาน หรือการเงิน ช่วยให้คุณโฟกัสเฉพาะภาคส่วนที่เชื่อมั่น
 - ETF อิงสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity ETF): ลงทุนในสินค้าพื้นฐานอย่างทองคำ น้ำมัน หรือโลหะมีค่า ทำให้เข้าถึงสินทรัพย์เหล่านี้ได้โดยไม่ต้องถือของจริงผ่านตลาดหุ้น
 - ETF อิงต่างประเทศ (Foreign ETF): ลงทุนในสินทรัพย์หรือดัชนีจากตลาดต่างประเทศ ซึ่งอาจเป็น ETF ที่ซื้อขายตรงในตลาดนอก หรือกองทุน ETF ไทยที่ไปลงทุนในต่างแดนแทน
 
ในการเลือกประเภท ETF ให้คิดถึงจุดประสงค์หลักของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของทุน การสร้างรายได้ประจำ หรือการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตทั้งหมด เพื่อให้การลงทุนสอดคล้องกับแผนระยะยาว
ขั้นตอนการซื้อ ETF ในตลาดหลักทรัพย์ไทย (Streaming Platform)
การซื้อ ETF ในตลาดไทยนั้นไม่ยุ่งยากมากนัก โดยส่วนใหญ่ทำผ่านแอปหรือแพลตฟอร์มที่โบรกเกอร์ให้บริการ แพลตฟอร์ม Streaming ที่พัฒนาโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมเพราะใช้งานสะดวก ต่อไปนี้คือขั้นตอนแบบละเอียดที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ
- เปิดบัญชีหลักทรัพย์:
- เลือกโบรกเกอร์: หาบริษัทหลักทรัพย์ที่ตรงใจ เช่น InnovestX, SCB Securities, Bualuang Securities หรือ Krungsri Securities โดยพิจารณาจากรีวิวและบริการ
 - ยื่นเอกสาร: เตรียมบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีธนาคาร และเอกสารรายได้หากจำเป็น เพื่อให้กระบวนการราบรื่น
 - อนุมัติบัญชี: โบรกเกอร์จะตรวจสอบและอนุมัติภายใน 1-3 วันทำการ ทำให้คุณพร้อมเริ่มลงทุนเร็ว
 
 - ดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชัน Streaming:
- หลังจากบัญชีอนุมัติ คุณจะได้ username และ password จากโบรกเกอร์
 - ดาวน์โหลดแอป Streaming จาก App Store หรือ Google Play Store เพื่อใช้งานบนมือถือ
 - ล็อกอินด้วยข้อมูลที่ได้รับ แล้วสำรวจฟีเจอร์ต่างๆ
 
 - โอนเงินเข้าบัญชีหลักทรัพย์:
- โอนเงินจากบัญชีธนาคารของคุณไปยังบัญชีโบรกเกอร์ ผ่านช่องทางอย่าง Mobile Banking หรือ Internet Banking
 - ยอดเงินจะอัปเดตในพอร์ตของคุณบนแอป Streaming อย่างรวดเร็ว
 
 - ค้นหาและเลือก ETF ที่ต้องการ:
- เข้าเมนู Quote หรือค้นหาในแอป
 - พิมพ์รหัส ETF ที่สนใจ เช่น BSET50 สำหรับกองทุนที่ติดตาม SET50
 - ตรวจสอบรายละเอียด เช่น ราคาปัจจุบัน ผลตอบแทนย้อนหลัง สภาพคล่อง และข้อมูลผู้จัดการ เพื่อตัดสินใจ
 
 - ส่งคำสั่งซื้อขาย:
- เมื่อเลือกได้แล้ว กดปุ่ม Buy เพื่อเริ่ม
 - กำหนดจำนวนหน่วยที่ต้องการ โดยขั้นต่ำมักเป็น 1 หน่วย
 - เลือกประเภทราคา:
- ราคาตลาด (MP – Market Price): ซื้อที่ราคาตลาดดีที่สุดทันที
 - ราคาเสนอ (Limit Price): ตั้งราคาที่ต้องการ แล้วรอให้ตลาดถึงระดับนั้น
 
 - ตรวจสอบแล้วยืนยันคำสั่งเพื่อดำเนินการ
 
 - ติดตามผล:
- เช็คสถานะในเมนู Portfolio หรือ Order
 - เมื่อจับคู่สำเร็จ ETF จะเพิ่มเข้าในพอร์ตของคุณทันที
 
 
ด้วย Streaming การซื้อขาย ETF จึงเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็ว นักลงทุนควรฝึกใช้งานแอปให้ชินมือ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น
ซื้อ ETF ที่ไหนดี? เปรียบเทียบช่องทางยอดนิยมในไทย
ในไทยมีโบรกเกอร์หลายรายที่รองรับการซื้อขาย ETF แต่ละแห่งมีข้อดีและโปรโมชั่นที่แตกต่าง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น มาดูการเปรียบเทียบช่องทางยอดฮิตกัน
| โบรกเกอร์/แพลตฟอร์ม | จุดเด่น | ค่าคอมมิชชั่น (โดยประมาณ) | ผลิตภัณฑ์ ETF | ความเหมาะสม | 
|---|---|---|---|---|
| InnovestX | แอปเดียวครอบคลุมหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้นไทยต่างประเทศ กองทุน และคริปโต ใช้งานสะดวก มีบทวิเคราะห์ช่วยเหลือ | เริ่มต้น 0.10% (ขั้นต่ำ 10 บาท) | ETF ไทย, ETF ต่างประเทศ (ผ่าน Thai NVDR) | นักลงทุนมือใหม่และผู้ที่ชอบความหลากหลาย | 
| Streaming (ผ่านโบรกเกอร์ต่างๆ) | แพลตฟอร์มมาตรฐานจาก SET ฟีเจอร์ครบ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ใช้ | ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์ที่เลือก (เช่น SCB Securities, Bualuang Securities) | ETF ไทย | นักลงทุนที่คุ้นเคยกับระบบตลาดและต้องการข้อมูลเรียลไทม์ | 
| SCB Securities | โบรกเกอร์ยักษ์ใหญ่ มีทีมสนับสนุนดี โปรสำหรับมือใหม่บ่อย | เริ่มต้น 0.15% (ขั้นต่ำ 50 บาท) | ETF ไทย | ผู้ที่ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและการช่วยเหลือ | 
| Bualuang Securities | เครื่องมือวิเคราะห์มากมาย บทวิเคราะห์ลึก รองรับลงทุนต่างประเทศ | เริ่มต้น 0.15% (ขั้นต่ำ 50 บาท) | ETF ไทย, ETF ต่างประเทศ (ผ่าน Offshore Account) | นักลงทุนที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกและบริการครบครันสำหรับต่างประเทศ | 
| Dime! by KBank | แอปเน้นลงทุนต่างประเทศ ค่าธรรมเนียมต่ำ ซื้อหุ้นและ ETF ต่างแดนตรง | ไม่มีค่าคอมมิชชั่นสำหรับ ETF ต่างประเทศ (มีค่าธรรมเนียมแลกเปลี่ยนเงิน) | ETF ต่างประเทศ (เช่น S&P 500 ETF) | ผู้ที่โฟกัสสินทรัพย์ต่างประเทศและอยากประหยัดค่าธรรมเนียม | 
เมื่อเลือกโบรกเกอร์ อย่าลืมชั่งน้ำหนักปัจจัยอย่างค่าธรรมเนียม ความหลากหลายของ ETF ความสะดวกของแพลตฟอร์ม และบริการลูกค้า บางแห่งยังมีโปรพิเศษสำหรับมือใหม่หรือเครื่องมือวิเคราะห์ที่ช่วยตัดสินใจได้ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์ลงทุนของคุณราบรื่นยิ่งกว่าเดิม
เจาะลึก: ซื้อ ETF S&P 500 และ ETF ต่างประเทศยังไง?
การลงทุนใน S&P 500 ETF สำหรับคนไทย
ดัชนี S&P 500 เป็นตัวแทนสำคัญของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่รวม 500 บริษัทชั้นนำ การลงทุนผ่าน S&P 500 ETF จึงเป็นทางเลือกชาญฉลาดในการกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงโอกาสจากเศรษฐกิจโลก สำหรับนักลงทุนไทย มีวิธีการเข้าถึงที่หลากหลาย เพื่อให้เหมาะกับความต้องการแต่ละคน
- ผ่านกองทุนรวมของไทยที่ลงทุนใน S&P 500: หลายโบรกเกอร์และบริษัทจัดการกองทุนมีกองทุน FIF หรือ Feeder Fund ที่ไปลงทุนใน S&P 500 ETF ต่อ ซึ่งสะดวกเพราะไม่ต้องจัดการบัญชีต่างประเทศเอง
 - ผ่าน InnovestX หรือโบรกเกอร์ไทยที่มีบริการลงทุนต่างประเทศ: แพลตฟอร์มเหล่านี้มักมี ETF ต่างประเทศที่ติดตาม S&P 500 ผ่าน Thai NVDR หรือบัญชีพิเศษ ทำให้ซื้อได้ง่ายจากในไทย
 - ผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรง: เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์อย่าง Interactive Brokers เพื่อซื้อ S&P 500 ETF ในตลาดสหรัฐฯ โดยตรง เช่น IVV, SPY, VOO ซึ่งให้การเข้าถึงที่แท้จริงแต่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
 
ขั้นตอนการซื้อ ETF ต่างประเทศ
การลงทุน ETF ต่างประเทศซับซ้อนกว่าภายในประเทศเล็กน้อย โดยเฉพาะเรื่องบัญชี โอนเงิน และภาษี แต่ถ้าทำตามขั้นตอน จะช่วยลดความยุ่งยากได้
- เลือกโบรกเกอร์ต่างประเทศ: มองหาโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและมีใบอนุญาต เช่น Interactive Brokers, Charles Schwab หรือ TD Ameritrade โดยตรวจสอบว่ายอมรับลูกค้าจากไทย
 - เปิดบัญชีหลักทรัพย์ต่างประเทศ: กระบวนการออนไลน์ส่วนใหญ่ ต้องส่งเอกสารยืนยันตัวตน ที่อยู่ ประสบการณ์ลงทุน และสถานะภาษี เพื่อให้ผ่านการตรวจสอบ
 - โอนเงินไปต่างประเทศ:
- แจ้งธนาคาร: ติดต่อธนาคารไทยเพื่อแจ้งโอนเงินสำหรับลงทุนต่างประเทศ
 - เตรียมเอกสาร: รวมเอกสารยืนยันบัญชีจากโบรกเกอร์
 - แลกเปลี่ยนสกุลเงิน: แลกบาทเป็น USD หรือสกุลอื่น โดยคำนึงถึงความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
 - ค่าธรรมเนียม: เตรียมค่าธรรมเนียมโอนและแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้น
 
 - ซื้อขาย ETF ต่างประเทศ: เมื่อเงินถึงบัญชีแล้ว ใช้แพลตฟอร์มโบรกเกอร์ค้นหาและสั่งซื้อ ETF เหมือนหุ้นปกติ
 - การจัดการภาษี:
- ภาษีเงินปันผล: อาจถูกหักที่ประเทศต้นทาง เช่น สหรัฐฯ หัก 30% หรือลดเหลือ 15% ถ้ามีสนธิสัญญาภาษี
 - ภาษีในประเทศไทย: ถ้านำเงินกำไรหรือปันผลกลับในปีเดียวกัน อาจต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ข้อมูลเพิ่มเติมจาก ก.ล.ต.)
 
 
แม้ ETF ต่างประเทศจะเปิดประตูสู่ตลาดกว้างใหญ่ แต่ก็ต้องศึกษาภาษีและกฎระเบียบให้ละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่คาดคิดและทำให้การลงทุนยั่งยืน
สิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจลงทุน ETF
ก่อนเริ่มลงทุน ETF มีปัจจัยหลายอย่างที่ควรชั่งน้ำหนักให้ดี เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายและลดความเสี่ยงที่อาจเกิด โดยพิจารณาจากมุมมองที่ครอบคลุม
- วัตถุประสงค์การลงทุน: กำหนดชัดว่าต้องการอะไร เช่น เติบโตทุนระยะยาว สร้างรายได้ หรือกระจายความเสี่ยง เพราะ ETF แต่ละประเภทตอบโจทย์ต่างกัน
 - ค่าธรรมเนียม (Fees): ดู management fee ที่หักรายปีจากกองทุน ควรเลือกตัวที่ต่ำเพื่อรักษาผลตอบแทน รวมถึง brokerage fee จากโบรกเกอร์ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อกำไรสุทธิ
 - สภาพคล่อง (Liquidity): เลือก ETF ที่มีปริมาณซื้อขายสูง เพื่อให้ซื้อขายได้ง่ายโดยไม่เสียเปรียบราคา ถ้าสภาพคล่องต่ำ อาจเจอ bid-ask spread กว้าง ทำให้ต้นทุนเพิ่ม
 - ความคลาดเคลื่อนในการติดตาม (Tracking Error): วัดจากความต่างระหว่างผลตอบแทน ETF กับดัชนีอ้างอิง ยิ่งต่ำยิ่งดี แสดงถึงการติดตามที่แม่นยำ
 - สินทรัพย์อ้างอิงและความเสี่ยง: เข้าใจว่ากองทุนลงทุนอะไรและเสี่ยงอย่างไร เช่น ETF หุ้นเสี่ยงจากตลาดผันผวน หรือ ETF สินค้าโภคภัณฑ์เสี่ยงจากราคาสินค้า
 - นโยบายการจ่ายเงินปันผล: บาง ETF จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งดึงดูดผู้ที่ต้องการกระแสเงินสด เช่น ผู้เกษียณ
 
การพิจารณาเหล่านี้อย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณคัด ETF ที่เข้ากับโปรไฟล์ส่วนตัว ทำให้การลงทุนมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น
สรุปและข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน ETF มือใหม่
ETF เป็นเครื่องมือลงทุนที่เหมาะสำหรับมือใหม่ เพราะรวมความยืดหยุ่นของหุ้นเข้ากับการกระจายความเสี่ยงของกองทุนรวม ทำให้จัดการพอร์ตได้ง่ายและมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วน เข้าใจสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง และประเมินความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด
สำหรับผู้เริ่มต้น แนะนำ ETF ที่ติดตามดัชนีใหญ่ๆ อย่าง SET50 ETF ซึ่งผันผวนน้อย สภาพคล่องดี และสะท้อนภาพรวมตลาดไทย นอกจากนี้ ลองใช้วิธี dollar-cost averaging โดยลงทุนเงินเท่าๆ กันทุกเดือน เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน
ทั้งตลาดหลักทรัพย์และ ก.ล.ต. (ก.ล.ต.) เตือนเสมอว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาก่อนตัดสินใจ การเรียนรู้ต่อเนื่องและปรับแผนตามตลาดกับความต้องการส่วนตัว จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. กองทุน ETF ซื้อได้ที่ไหนบ้างในประเทศไทย?
คุณสามารถซื้อ ETF ในประเทศไทยได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ต่างๆ ที่มีใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น InnovestX, SCB Securities, Bualuang Securities หรือ Krungsri Securities โดยส่วนใหญ่จะซื้อขายผ่านแอปพลิเคชัน Streaming หรือแพลตฟอร์มของโบรกเกอร์นั้นๆ
2. ETF กับ S&P 500 ต่างกันอย่างไร?
S&P 500 คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ประกอบด้วย 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ ETF (Exchange Traded Fund) คือกองทุนรวมที่สามารถซื้อขายได้เหมือนหุ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลตอบแทนของสินทรัพย์อ้างอิง ซึ่งอาจเป็นดัชนีหุ้น ทองคำ หรือกลุ่มอุตสาหกรรม ดังนั้น S&P 500 ETF จึงเป็น ETF ประเภทหนึ่งที่มีเป้าหมายในการเลียนแบบผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 นั่นเอง
3. การลงทุนใน ETF ขั้นต่ําเท่าไหร่?
การลงทุนใน ETF ไม่มีขั้นต่ำที่กำหนดตายตัวเหมือนกองทุนรวมทั่วไป แต่จะขึ้นอยู่กับราคาต่อหน่วยของ ETF นั้นๆ และจำนวนหน่วยขั้นต่ำที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะซื้อได้ตั้งแต่ 1 หน่วยขึ้นไป ทำให้บางกองทุนอาจเริ่มต้นที่หลักสิบหรือหลักร้อยบาทเท่านั้น ทำให้เข้าถึงได้ง่ายสำหรับนักลงทุนมือใหม่
4. ซื้อ ETF ต่างประเทศ ต้องทำยังไง? มีขั้นตอนอะไรบ้าง?
การซื้อ ETF ต่างประเทศสามารถทำได้ 2 วิธีหลักๆ:
- ผ่านโบรกเกอร์ไทยที่มีบริการลงทุนต่างประเทศ: เช่น InnovestX หรือ Bualuang Securities ที่มีแพลตฟอร์มรองรับการซื้อขาย ETF ต่างประเทศโดยตรง หรือผ่านกองทุนรวมของไทยที่ไปลงทุนใน ETF ต่างประเทศ
 - เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรง: เช่น Interactive Brokers โดยต้องผ่านขั้นตอนการเปิดบัญชีที่ซับซ้อนกว่า การโอนเงินระหว่างประเทศ และการจัดการเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้อง
 
คุณจะต้องเตรียมเอกสารยืนยันตัวตน, โอนเงินบาทไปแลกเป็นสกุลเงินต่างประเทศ, และทำความเข้าใจเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องทั้งในประเทศและต่างประเทศ
5. ซื้อ ETF ใน Streaming Application ยากไหม? มีคู่มือแนะนำไหม?
การซื้อ ETF ใน Streaming Application ไม่ได้ยากอย่างที่คิด แอปพลิเคชันถูกออกแบบมาให้ใช้งานง่ายสำหรับนักลงทุนทั่วไป หลังจากเปิดบัญชีหลักทรัพย์กับโบรกเกอร์แล้ว คุณสามารถเข้าสู่ระบบ ค้นหา ETF ที่ต้องการ ดูข้อมูลต่างๆ และส่งคำสั่งซื้อขายได้คล้ายกับการซื้อขายหุ้นปกติ โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะมีคู่มือหรือวิดีโอสอนการใช้งาน Streaming App ให้บริการ
6. ETF ในไทย มีตัวไหนน่าสนใจสำหรับมือใหม่บ้าง?
สำหรับมือใหม่ ETF ที่น่าสนใจในไทยมักจะเป็น ETF ที่อิงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย เช่น:
- BSET50 (Bualuang SET50 ETF): ติดตามดัชนี SET50 ของไทย
 - TDEX (ThaiDEX SET50 ETF): ติดตามดัชนี SET50 เช่นกัน
 - ONE-SET50 (ONE SET50 ETF): อีกหนึ่งทางเลือกสำหรับ SET50 ETF
 
ETF เหล่านี้ให้ผลตอบแทนตามภาพรวมของตลาดหุ้นไทย ลดความเสี่ยงจากการเลือกหุ้นรายตัว และมีสภาพคล่องสูง
7. ซื้อ ETF ผ่านแอป Dime ทำได้ไหม?
แอป Dime! by KBank เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยม ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นและ ETF ต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะ ETF ที่ติดตามดัชนีสำคัญๆ เช่น S&P 500 คุณจึงสามารถซื้อ ETF ต่างประเทศผ่านแอป Dime ได้อย่างสะดวกสบายและมีค่าธรรมเนียมที่ค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน Dime ยังไม่รองรับการซื้อขาย ETF ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยตรง
8. ลงทุน ETF ต้องเสียภาษียังไงในประเทศไทย?
สำหรับ ETF ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ไทย:
- กำไรจากการขาย (Capital Gain): ได้รับการยกเว้นภาษี
 - เงินปันผล (Dividend): ถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
 
สำหรับ ETF ต่างประเทศ:
- เงินปันผล: อาจถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในประเทศต้นทางก่อน และหากนำเงินปันผล (หรือกำไรจากการขาย) กลับเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกัน อาจมีภาระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย
 
ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อวางแผนภาษีที่เหมาะสม
9. ควรเลือก ETF หรือกองทุนรวมดีกว่ากัน?
การเลือกระหว่าง ETF กับกองทุนรวมขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนของคุณ:
- ETF: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการซื้อขายระหว่างวัน มีความโปร่งใส (ราคาเคลื่อนไหวตามตลาด), ค่าธรรมเนียมต่ำ และสามารถทำ Short Sell ได้ (สำหรับบางกอง)
 - กองทุนรวม: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการให้ผู้จัดการกองทุนดูแลการลงทุนให้ทั้งหมด มีการซื้อขายเพียงวันละครั้ง (ณ ราคา NAV สิ้นวัน) และอาจมีประเภทกองทุนที่หลากหลายกว่าในบางด้าน
 
ทั้งสองประเภทเป็นเครื่องมือที่ดีในการกระจายความเสี่ยง แต่มีวิธีการซื้อขายและโครงสร้างค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกัน
10. การลงทุนใน ETF มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
การลงทุนใน ETF มีความเสี่ยงหลายประการ เช่น:
- ความเสี่ยงด้านราคาตลาด: ราคา ETF มีความผันผวนตามสินทรัพย์อ้างอิงและภาวะตลาด
 - ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: ETF บางกองอาจมีปริมาณการซื้อขายต่ำ ทำให้ขายยากหรือได้ราคาไม่ดี
 - ความเสี่ยงจากความคลาดเคลื่อนในการติดตาม (Tracking Error): ผลตอบแทนของ ETF อาจไม่ตรงกับดัชนีที่ติดตาม 100%
 - ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน: สำหรับ ETF ต่างประเทศ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ อาจทำให้ผลตอบแทนลดลงเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท
 - ความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุน: แม้จะมีการบริหารจัดการแบบ Passive แต่ก็ยังมีความเสี่ยงจากผู้จัดการกองทุน
 
นักลงทุนควรศึกษาและทำความเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้ก่อนตัดสินใจลงทุน