Hedging คืออะไร 5 กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยต้องรู้ เพื่อพอร์ตที่มั่นคง

ในโลกของการลงทุนและธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การป้องกันความเสี่ยงถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและผู้ประกอบการปกป้องสินทรัพย์และผลกำไรจากความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยง ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้ในตลาดการเงินไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น กองทุนรวม หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล เพื่อช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตการลงทุน

ภาพประกอบบุคคลกำลังทรงตัวบนเชือกตึงท่ามกลางสัญลักษณ์ตลาดที่ผันผวน

การป้องกันความเสี่ยงคืออะไร หลักการทำงานและความสำคัญ

ความหมายของการป้องกันความเสี่ยง

การป้องกันความเสี่ยงคือกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่มุ่งลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่ไม่คาดคิดในสินทรัพย์หรือหนี้สินที่ถืออยู่ เป้าหมายหลักอยู่ที่การป้องกันการสูญเสียจากความไม่แน่นอนของตลาด มากกว่าการมุ่งหาผลตอบแทนสูงสุด

หลักการพื้นฐานคือการสร้างสถานะที่ตรงข้ามกันเพื่อชดเชย หากสินทรัพย์หลักมีมูลค่าลดลงจากปัจจัยภายนอก สถานะป้องกันนี้จะช่วยลดผลขาดทุนสุทธิ หรือบางกรณีอาจทำให้ไม่ได้รับผลกระทบเลย ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนรักษาสมดุลได้ดีกว่า

ภาพประกอบเฟืองสองตัวหมุนทิศทางตรงข้าม สื่อถึงสถานะทางการเงินที่ชดเชยกัน

เหตุผลที่การป้องกันความเสี่ยงมีความสำคัญในตลาดที่ไม่แน่นอน

ในยุคที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจใหญ่ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การลงทุนจึงเสี่ยงมากขึ้น การใช้กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักลงทุนและธุรกิจดำเนินการต่อไปด้วยความมั่นใจ โดยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนเหล่านั้น

ตัวอย่างเช่น ผู้ส่งออกที่คาดหวังรับเงินดอลลาร์ในอนาคต หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นระหว่างทาง จะทำให้มูลค่าเงินบาทที่ได้ลดลง การล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าผ่านกลยุทธ์นี้ช่วยให้วางแผนรายรับได้ชัดเจน แม้ค่าเงินจะผันผวน ทำให้ธุรกิจมีเสถียรภาพในการดำเนินงานมากขึ้น

ประเภทของการป้องกันความเสี่ยง กลยุทธ์และเครื่องมือที่ใช้

กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทความเสี่ยงและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้ปรับใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์

ภาพประกอบโล่ป้องกันพอร์ตการเงินจากคลื่นตลาดที่พายุโหมกระหน่ำ

รูปแบบหลักของกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง

  • การป้องกันโดยตรง: ใช้วิธีที่เชื่อมโยงตรงกับสินทรัพย์ เช่น การซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สของสินค้าชนิดเดียวกันที่ถืออยู่ เพื่อให้การชดเชยเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ
  • การป้องกันข้ามประเภท: เหมาะสำหรับกรณีที่ไม่มีเครื่องมือตรงตัว หรือสภาพคล่องน้อย โดยใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องใกล้เคียง เช่น สัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นเพื่อปกป้องหุ้นรายตัวในพอร์ต
  • การป้องกันโดยธรรมชาติ: เกิดจากการจัดโครงสร้างธุรกิจให้สมดุลเอง เช่น บริษัทที่มีรายรับและรายจ่ายในสกุลเงินเดียวกัน จะลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม

เครื่องมือหลักสำหรับการป้องกันความเสี่ยง: ตราสารอนุพันธ์

ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือสำคัญเพราะมูลค่าขึ้นกับสินทรัพย์อ้างอิง สามารถนำมาใช้ทั้งป้องกันและเก็งกำไรได้อย่างยืดหยุ่น

  1. สัญญาฟิวเจอร์ส:

    สัญญาฟิวเจอร์สคือข้อตกลงมาตรฐานที่กำหนดให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตที่ราคาและวันกำหนด ผู้ที่กลัวราคาขึ้นอาจซื้อสัญญา (long position) ในขณะที่กลัวราคาลงอาจขายสัญญา (short position) เพื่อชดเชย

    ตัวอย่างเช่น เกษตรกรปลูกข้าวโพดสามารถขายสัญญาฟิวเจอร์สล่วงหน้าเพื่อกำหนดราคาขายผลผลิต ป้องกันกรณีที่ราคาตกเมื่อเก็บเกี่ยว ทำให้รายได้คาดการณ์ได้

  2. สัญญาออปชัน:

    สัญญาออปชันให้สิทธิ์แต่ไม่บังคับให้ซื้อ (call option) หรือขาย (put option) สินทรัพย์ที่ราคากำหนด (strike price) ภายในเวลาที่ตั้งไว้ โดยจ่ายค่าธรรมเนียมที่เรียกว่าพรีเมียม

    • call option: ใช้ป้องกันราคาขึ้น
    • put option: ใช้ป้องกันราคาลง

    ตัวอย่าง นักลงทุนถือหุ้นและกังวลว่าราคาจะตก อาจซื้อ put option หากราคาหุ้นลดลง กำไรจากออปชันจะช่วย offsetting การสูญเสียจากหุ้น

  3. สัญญาฟอร์เวิร์ด:

    สัญญาฟอร์เวิร์ดคล้ายฟิวเจอร์สแต่ไม่มาตรฐาน ทำนอกตลาดหลัก (OTC) และปรับเงื่อนไขได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับความเสี่ยงเฉพาะ

    ตัวอย่าง บริษัทนำเข้าของไทยที่ต้องจ่ายเงิน USD ใน 3 เดือน สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดกับธนาคารเพื่อล็อกอัตรา THB/USD ป้องกันเงินบาทอ่อนค่า

ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือยอดนิยมในการป้องกันความเสี่ยง

เครื่องมือ ลักษณะ ความยืดหยุ่น มาตรฐาน ตลาด
ฟิวเจอร์ส สิทธิ์และภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ต่ำ (มาตรฐานสูง) สูง ตลาดหลักทรัพย์ (เช่น TFEX)
ออปชัน สิทธิ์แต่ไม่ภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ปานกลาง (มี Strike Price, วันหมดอายุ) สูง ตลาดหลักทรัพย์ (เช่น TFEX)
ฟอร์เวิร์ด ภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต สูง (ปรับแต่งได้) ต่ำ (ไม่ใช่มาตรฐาน) นอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC)

การนำการป้องกันความเสี่ยงไปใช้ในตลาดการเงินไทย: กรณีศึกษา

ในประเทศไทย การป้องกันความเสี่ยงถูกนำไปใช้ในหลายตลาด โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของค่าเงิน ตลาดหุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจและนักลงทุนรับมือได้ดีขึ้น

การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: การดูแลค่าเงินบาท

สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกและนักลงทุนข้ามสกุลเงิน การจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับเงินบาทเทียบกับสกุลเงินหลักอย่าง USD, EUR หรือ JPY

ตัวอย่างการใช้ในไทย:

  • ธุรกิจส่งออก: บริษัทที่คาดรับ USD ใน 3 เดือน หากกลัวเงินบาทแข็ง สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดขาย USD กับธนาคารอย่างธนาคารกรุงเทพหรือธนาคารกสิกรไทย เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ ทำให้รายรับเงินบาทแน่นอน
  • ธุรกิจนำเข้า: บริษัทที่ต้องจ่าย USD ใน 6 เดือน สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดซื้อ USD เพื่อป้องกันเงินบาทอ่อน ทำให้ไม่ต้องใช้เงินบาทเพิ่ม

ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงนี้ โดยออกแนวทางเพื่อช่วย SMEs เข้าถึงเครื่องมือได้ง่าย ข้อมูลเพิ่มเติมจาก BOT เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน

การจัดการพอร์ตการลงทุน: หุ้นและกองทุนรวม

นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือกองทุนรวมต่างๆ สามารถใช้การป้องกันเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตได้

  • หุ้น: หากถือหุ้นมากและกังวลตลาดลง สามารถ short sell สัญญาฟิวเจอร์ส SET50 ใน TFEX เพื่อชดเชย หากดัชนีตก กำไรจากฟิวเจอร์สจะช่วยพอร์ตหุ้น
  • กองทุนรวม: กองทุนที่ลงทุนต่างประเทศมักใช้การป้องกันอัตราแลกเปลี่ยน เช่น กองทุนจาก KTAM ที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างแดน รายละเอียดกองทุน KTAM เพื่อรักษามูลค่าหน่วยลงทุนจากความผันผวนค่าเงิน

การป้องกันในตลาดสกุลเงินดิจิทัล

สกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนสูง การป้องกันจึงจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน แม้เครื่องมือจะแตกต่าง

  • ฟิวเจอร์สและ perpetual swaps: แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub หรือ Binance มีสัญญาเหล่านี้สำหรับ short sell สกุลเงินดิจิทัลที่ถือ เพื่อป้องกันราคาตก
  • stablecoins: การแปลงจากสินทรัพย์ผันผวนอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum ไปเป็น stablecoins อย่าง USDT หรือ BUSD ถือเป็นการป้องกันชั่วคราว เพื่อรักษามูลค่า

แพลตฟอร์มในไทยอย่าง Zipmex หรือ Bitkub ช่วยในการเทรดดิจิทัล โดยนักลงทุนใช้กลยุทธ์นี้จัดการความเสี่ยงราคา โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรง

ต้นทุนและข้อจำกัดในการป้องกันความเสี่ยง: มุมมองในตลาดไทย

แม้การป้องกันจะมีประโยชน์ แต่ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดให้รอบคอบ โดยเฉพาะในบริบทไทย

ต้นทุนที่เกี่ยวข้อง

การป้องกันไม่ได้ฟรี มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้:

  • พรีเมียม: สำหรับสัญญาออปชัน
  • ค่าธรรมเนียมและคอมมิชชั่น: จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร
  • ส่วนต่างราคา: ระหว่างซื้อและขาย
  • ต้นทุนดอกเบี้ย: จากการกู้หรือความแตกต่างสกุลเงินในฟอร์เวิร์ด

ในไทย ค่าธรรมเนียม TFEX หรือสัญญากับธนาคารแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบ ค่าธรรมเนียม TFEX หรือสอบถามธนาคารโดยตรงเพื่อเลือกทางเลือกที่คุ้มค่า

ข้อจำกัดและความเสี่ยง

  • จำกัดโอกาสกำไร: ลดความเสี่ยงแต่ก็ลดโอกาสกำไรเต็มที่ หากตลาดไปทางบวก
  • ความเสี่ยงฐาน: เมื่อเครื่องมือไม่เคลื่อนไหวตรงกับสินทรัพย์ ทำให้ป้องกันไม่สมบูรณ์
  • การป้องกันไม่พอหรือเกิน: จากการคำนวณสัดส่วนผิด อาจเสียมากกว่าประโยชน์
  • ความเสี่ยงสภาพคล่อง: ในบางตลาดหรือเครื่องมือ อาจยากที่จะเปิดหรือปิดสถานะในราคาที่ต้องการ

มุมมองขั้นสูง: กองทุนเฮดจ์และการบัญชีป้องกันความเสี่ยง

นอกจากการใช้สำหรับบุคคลและธุรกิจ ยังมีแนวคิดที่ซับซ้อนกว่านั้นในระดับสถาบัน

กองทุนเฮดจ์คืออะไร

กองทุนเฮดจ์คือกองทุนลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ซับซ้อน เช่น อนุพันธ์ การกู้ยืม หรือ long/short เพื่อผลตอบแทนสูงในทุกสภาวะตลาด แม้ชื่อมีคำว่าเฮดจ์ แต่เน้นกำไรเป็นหลัก ไม่ใช่แค่ป้องกัน มักเปิดเฉพาะนักลงทุนสถาบันหรือผู้มีคุณสมบัติ

บทนำการบัญชีป้องกันความเสี่ยง

การบัญชีป้องกันคือมาตรฐานที่ช่วยบันทึกผลกระทบการป้องกันในงบการเงินให้ตรงกัน โดยจับคู่กำไรขาดทุนจากเครื่องมือกับรายการที่ป้องกัน เพื่อลดความผันผวนในงบกำไรขาดทุน

ในไทย ใช้ TFRS 9 ซึ่งสอดคล้อง IFRS 9 ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ระบุความสัมพันธ์และประเมินประสิทธิภาพ ทำให้งบการเงินสะท้อนสถานะจริง

สรุป: การใช้การป้องกันความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดในตลาดไทย

การป้องกันความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนและธุรกิจในตลาดไทยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะป้องกันรายได้ส่งออกจากค่าเงิน ลงทุนหุ้นจากความเสี่ยงขาลง หรือจัดการดิจิทัลจากผันผวน ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้พอร์ต

แต่การเลือกเครื่องมือต้องเข้าใจความเสี่ยง ต้นทุน และข้อจำกัดให้ถ่องแท้ การตัดสินใจอย่างรอบคอบและติดตามข้อมูลจะช่วยให้ใช้กลยุทธ์นี้ปกป้องและยกระดับสถานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจไทยที่เผชิญปัจจัยภายนอกมากมาย

FAQ Icon คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Hedge ค่าเงิน ทำยังไงในบริบทของธุรกิจส่งออก/นำเข้าของไทย?

ธุรกิจส่งออก/นำเข้าในไทยนิยมใช้สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contract) กับธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกรุงเทพ หรือ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า โดยผู้ส่งออกจะทำสัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ส่วนผู้นำเข้าจะทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาท

การเทรดแบบ hedging คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไรสำหรับนักลงทุนไทย?

การเทรดแบบ Hedging คือการเข้าทำธุรกรรมเพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ โดยมักใช้ตราสารอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์ส หรือออปชัน

  • ข้อดีสำหรับนักลงทุนไทย: ช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุน, สร้างความมั่นคงให้พอร์ตการลงทุน, ช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น
  • ข้อเสียสำหรับนักลงทุนไทย: มีต้นทุน (ค่าพรีเมียม, ค่าธรรมเนียม), อาจจำกัดโอกาสทำกำไรสูงสุด, มีความเสี่ยงฐาน (Basis Risk) และความเสี่ยงในการคำนวณสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม

กองทุนเฮดจ์ฟันด์ คืออะไร แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปอย่างไรในตลาดไทย?

กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) เป็นกองทุนที่เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนและหลากหลายเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด มักมีเป้าหมายที่ผลตอบแทนสัมบูรณ์ (Absolute Return) และมีค่าธรรมเนียมสูง โดยทั่วไปจะเปิดรับเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น

ในขณะที่กองทุนรวมทั่วไปในตลาดไทย เช่น กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ จะมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนและจำกัดกว่า เน้นการลงทุนตามดัชนีหรือกลุ่มสินทรัพย์ และเปิดรับนักลงทุนรายย่อยได้ทั่วไปภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.

Hedging มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับสถานการณ์การลงทุนแบบไหนในไทย?

ประเภทหลักๆ ได้แก่:

  • Direct Hedging: เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีเครื่องมืออนุพันธ์รองรับโดยตรง เช่น การใช้ฟิวเจอร์ส SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงหุ้นในดัชนี SET50
  • Cross Hedging: เหมาะเมื่อไม่มีเครื่องมือโดยตรง เช่น การใช้ฟิวเจอร์สดัชนีเพื่อป้องกันหุ้นรายตัวที่ไม่มีฟิวเจอร์สเฉพาะ
  • Natural Hedging: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายรับและรายจ่ายเป็นสกุลเงินเดียวกัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยธรรมชาติ

วิธี Hedge ค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีเครื่องมืออะไรบ้างที่เข้าถึงได้ในไทย?

ในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือหลักๆ ได้แก่:

  • สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contracts): ทำกับธนาคารพาณิชย์โดยตรง เป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
  • สัญญาฟิวเจอร์สค่าเงิน (Currency Futures): ซื้อขายในตลาด TFEX เช่น USD Futures
  • ออปชันค่าเงิน (Currency Options): ซื้อขายในตลาด TFEX (หากมีสินค้า) หรือทำกับธนาคาร

Hedging Cost คืออะไร และมีวิธีลดต้นทุนการทำ Hedging สำหรับนักลงทุนไทยอย่างไร?

Hedging Cost คือต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยง เช่น ค่าพรีเมียมของออปชัน, ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย, ค่าสเปรด และต้นทุนดอกเบี้ย

วิธีลดต้นทุนสำหรับนักลงทุนไทย:

  • เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับขนาดและประเภทความเสี่ยง
  • เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมจากโบรกเกอร์หรือธนาคารหลายแห่ง
  • ใช้กลยุทธ์ Hedging แบบบางส่วน (Partial Hedging) แทนการ Hedging เต็มจำนวน
  • ใช้ Natural Hedging หากเป็นไปได้ในบริบทธุรกิจ

การทำ Hedging ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในไทย มีความเสี่ยงและข้อควรระวังอะไรบ้าง?

การทำ Hedging ในตลาดคริปโตฯ ในไทยมีความเสี่ยงสูงเนื่องจาก:

  • ความผันผวนสูง: ราคาคริปโตฯ เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ทำให้การคำนวณสัดส่วน Hedging ยาก
  • สภาพคล่อง: ตลาดอนุพันธ์คริปโตฯ บางแห่งอาจมีสภาพคล่องจำกัด
  • ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับคริปโตฯ ในไทยยังอยู่ในช่วงพัฒนา
  • ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มที่ให้บริการอนุพันธ์อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือการกำกับดูแล

ควรศึกษาแพลตฟอร์มและเครื่องมือให้ดี และลงทุนด้วยความระมัดระวัง

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีคำแนะนำเกี่ยวกับการทำ FX Hedging สำหรับธุรกิจไทยอย่างไร?

ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สนับสนุนให้ธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือ FX Hedging เพื่อบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยได้มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์และอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงเครื่องมือเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น BOT แนะนำให้ธุรกิจประเมินความเสี่ยงของตนเองและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างต่อเนื่อง

สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมจาก ธปท. ได้ที่นี่

นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือ Hedging ได้ผ่านช่องทางใดบ้าง?

นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือ Hedging ได้ผ่านช่องทางหลักๆ ดังนี้:

  • ตลาด TFEX (Thailand Futures Exchange): สามารถซื้อขาย SET50 Index Futures, Single Stock Futures, Gold Futures และ Currency Futures ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต
  • ธนาคารพาณิชย์: สำหรับสัญญาฟอร์เวิร์ดสกุลเงิน (สำหรับผู้ประกอบการหรือนักลงทุนที่มีวงเงิน)
  • แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี: สำหรับอนุพันธ์คริปโตฯ (ต้องตรวจสอบกฎหมายและแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตในไทย)

Hedging strategy คืออะไร? มีกลยุทธ์ไหนที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของไทย?

Hedging strategy คือแผนการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด

สำหรับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของไทยที่อาจมีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายนอกและอัตราดอกเบี้ย:

  • สำหรับผู้ส่งออก/นำเข้า: การใช้ Currency Forward หรือ Currency Futures เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน THB/USD เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
  • สำหรับนักลงทุนในหุ้น: การใช้ SET50 Index Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลงของตลาดโดยรวม หรือ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงของหุ้นรายตัว
  • สำหรับนักลงทุนคริปโตฯ: การใช้ Stablecoins หรือ Short Futures (หากมี) เพื่อป้องกันความผันผวนรุนแรง

การเลือกกลยุทธ์ควรพิจารณาจากสินทรัพย์ที่ถือครอง ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมุมมองต่อตลาดในอนาคต

More From Author

ทฤษฎี Wyckoff: คู่มือครบวงจร เข้าใจวงจรตลาด อ่านใจรายใหญ่ในหุ้นและคริปโตไทย

FCA Incoterms 2020 คืออะไร? คู่มือธุรกิจไทย เจาะลึกความรับผิดชอบ จุดโอนความเสี่ยง และค่าใช้จ่าย

發佈留言

近期留言

尚無留言可供顯示。