การเทรดสกุลเงิน (Forex Trading) คืออะไร?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดการซื้อขายสกุลเงินหรือที่เรียกว่า Forex ได้กลายเป็นทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนมืออาชีพหรือแม้แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นมองหาช่องทางสร้างรายได้เสริม ก็ต่างหันมาให้ความสนใจกับตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้ แต่สำหรับผู้เริ่มต้น คำถามแรกที่มักเกิดขึ้นคือ “การเทรดสกุลเงินคืออะไรกันแน่?”
หากอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด การเทรดสกุลเงินคือการแลกเปลี่ยนสกุลเงินหนึ่งเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง โดยมีเป้าหมายหลักคือทำกำไรจากราคาที่ขยับขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะเดินทางไปต่างประเทศและต้องแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเวลาผ่านไป ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หากคุณนำเงินดอลลาร์กลับมาแลกเป็นบาทอีกครั้ง คุณจะได้เงินกลับมาในจำนวนที่มากกว่าเดิม ความต่างของราคาในจุดนั้นคือกำไรจากการเก็งกำไรค่าเงิน
ในโลกการเทรดจริง กระบวนการนี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่เคาน์เตอร์แลกเงิน แต่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมต่อกับตลาดโลกโดยตรง และมีมูลค่าการซื้อขายที่ใหญ่มโหฬาร ทุกวันนี้ ตลาด Forex หรือที่ย่อมาจาก Foreign Exchange Market คือเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้มันกลายเป็นตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงที่สุด

ตลาด Forex ทำงานอย่างไร? ใครคือผู้เล่นหลัก
ข้อแตกต่างที่สำคัญของตลาด Forex จากตลาดการเงินอื่น ๆ คือลักษณะที่ไม่มีศูนย์กลาง (decentralized) หรือที่เรียกว่า Over-the-Counter (OTC) หมายความว่าไม่มีสถานที่ซื้อขายแบบเดียวกับตลาดหุ้น แต่ทุกการซื้อขายเกิดขึ้นผ่านระบบเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อมโยงธนาคาร สถาบันการเงิน และโบรกเกอร์ทั่วโลก ทำให้ตลาดเปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่ตลาดซิดนีย์เปิดทำการวันจันทร์เช้า จนถึงตลาดนิวยอร์กปิดช่วงเย็นวันศุกร์ ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้เทรดสามารถเข้าถึงตลาดได้ตามสะดวกในเวลาที่ต้องการ
ผู้เข้าร่วมในตลาดนี้มีความหลากหลายทั้งในแง่ของขนาด วัตถุประสงค์ และบทบาท โดยสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ ดังนี้:
- ธนาคารกลางและรัฐบาล: หน่วยงานเช่น ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีอิทธิพลต่อทิศทางค่าเงินผ่านการดำเนินนโยบายการเงิน การแทรกแซงตลาด หรือแม้แต่การประกาศปรับอัตราดอกเบี้ย
- ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินขนาดใหญ่: เป็นผู้เล่นที่มีอำนาจมากที่สุดในตลาด โดยดำเนินธุรกรรมซื้อขายสกุลเงินทั้งเพื่อลูกค้าและเพื่อเก็งกำไรของตนเองในปริมาณมหาศาล
- บริษัทข้ามชาติ: ต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพื่อรองรับกิจกรรมทางธุรกิจ เช่น การจ่ายเงินให้ซัพพลายเออร์ต่างประเทศ หรือรับรายได้จากสาขาที่ตั้งอยู่ต่างแดน
- นักลงทุนรายย่อย (Retail Traders): หรือก็คือบุคคลทั่วไปอย่างเรา ๆ ซึ่งเข้าถึงตลาดผ่านโบรกเกอร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลาง นักลงทุนรายย่อยมีบทบาทสัดส่วนไม่มากเมื่อเทียบกับกลุ่มใหญ่ แต่จำนวนผู้เริ่มต้นใหม่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี
ราคาสกุลเงินในตลาดเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัยสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเศรษฐกิจ เช่น ตัวเลขการว่างงาน ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) หรืออัตราเงินเฟ้อ รวมถึงการตัดสินใจของธนาคารกลางเรื่อง นโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย หรือแม้แต่เหตุการณ์ทางการเมือง ความขัดแย้ง หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ล้วนส่งผลต่อความเชื่อมั่นของตลาดและทำให้ค่าเงินเคลื่อนตัวได้ทันที

คำศัพท์พื้นฐานที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องรู้
ก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามจริง การเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานในตลาด Forex ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญ เพราะทุกคำมีบทบาทในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และบริหารความเสี่ยง หากไม่เข้าใจศัพท์เฉพาะ อาจทำให้สับสนหรือตัดสินใจผิดพลาดได้
คู่สกุลเงิน (Currency Pair)
การเทรดในตลาดนี้ไม่ได้เทรดสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดขึ้นในรูปแบบ “คู่” เสมอ เช่น EUR/USD ซึ่งแสดงถึงการเปรียบเทียบมูลค่าของยูโร (EUR) กับดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยสกุลเงินตัวแรกเรียกว่า Base Currency และตัวที่สองคือ Quote Currency ซึ่งบ่งบอกว่าต้องใช้กี่หน่วยของ Quote Currency ในการซื้อ 1 หน่วยของ Base Currency คู่สกุลเงินแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก:
- Major Pairs: คู่เงินหลักที่มีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุด โดยมักมีสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ด้วย เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY และ USD/CHF
- Minor Pairs (Cross-Currency Pairs): คู่สกุลเงินที่ไม่รวม USD เช่น EUR/GBP หรือ AUD/JPY ซึ่งมีสภาพคล่องน้อยกว่าแต่ยังสามารถเทรดได้
- Exotic Pairs: คู่สกุลเงินที่ประกอบด้วยสกุลเงินหลักและสกุลเงินจากประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น USD/THB หรือ EUR/TRY ซึ่งอาจมีความผันผวนสูงและสเปรดกว้าง
Pip และ Point
Pip หรือ Point คือหน่วยวัดความเปลี่ยนแปลงของราคาสกุลเงิน สำหรับคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ 1 Pip เท่ากับ 0.0001 หรือทศนิยมตำแหน่งที่สี่ เช่น ถ้าราคา EUR/USD ขยับจาก 1.1200 เป็น 1.1201 ถือว่าขยับขึ้น 1 Pip ในขณะที่ Point คือหน่วยย่อยที่ละเอียดกว่า โดย 1 Pip = 10 Points (ทศนิยมตำแหน่งที่ห้า) ความรู้เรื่อง Pip สำคัญมากเวลาคำนวณกำไรขาดทุน
Leverage (เลเวอเรจ)
เลเวอเรจเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่ามากกว่าเงินในบัญชีได้ เช่น การใช้เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า ทุก 1 ดอลลาร์ที่คุณมีในบัญชี คุณสามารถซื้อขายสกุลเงินได้ในมูลค่า 100 ดอลลาร์ แม้จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างรวดเร็วด้วย หากตลาดเคลื่อนตัวสวนทางกับคุณอย่างรุนแรง

Spread (สเปรด)
สเปรดคือความต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ของคู่สกุลเงิน นี่คือต้นทุนหลักที่โบรกเกอร์เรียกเก็บจากผู้เทรดทุกครั้งที่เปิดออเดอร์ โดยทั่วไป คู่เงินหลักจะมีสเปรดแคบ เช่น 0.5–2 Pip ขณะที่คู่เงิน exotic อาจมีสเปรดสูงถึง 20–50 Pip ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเทรดเพิ่มขึ้น
Long (Buy) & Short (Sell)
การเทรดไม่ได้หมายถึงแค่รอราคาขึ้นเท่านั้น คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งเมื่อราคาเพิ่มขึ้นและลดลง หากคุณคาดว่าราคาจะขึ้น ให้เปิดออเดอร์ “Buy” หรือ “Long” แต่หากคุณคิดว่าราคาจะลง ให้เปิด “Sell” หรือ “Short” ความสามารถนี้ทำให้ Forex แตกต่างจากตลาดอื่นที่มักต้องรอให้ราคาเพิ่มขึ้นจึงจะทำกำไรได้
เทรดสกุลเงิน: ใช่การพนันหรือไม่? มุมมองที่ต้องเข้าใจ
คำถามนี้มักถูกตั้งขึ้นบ่อยครั้ง โดยเฉพาะจากผู้ที่ยังไม่เข้าใจกลไกของตลาด หลายคนมองว่าการเทรดคือการเดาอย่างมั่ว ๆ หรือการโยนเหรียญเสี่ยงโชค ซึ่งเป็นมุมมองที่ผิดเพียงบางส่วนเท่านั้น
ความจริงก็คือ การเทรดจะกลายเป็น “การพนัน” ก็ต่อเมื่อผู้เทรดขาดความรู้ ไม่มีแผน และขาดวินัยในการบริหารความเสี่ยง แต่หากคุณเข้ามาอย่างมีระบบ มันจะกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงทุนที่คำนวณได้:
- การวิเคราะห์ vs. การเดาสุ่ม: เทรดเดอร์มืออาชีพไม่ได้ตัดสินใจจากความรู้สึกหรือโชค แต่ใช้การวิเคราะห์พื้นฐาน เช่น ข้อมูลเศรษฐกิจ นโยบายการเงิน หรือการวิเคราะห์เทคนิคผ่านกราฟและอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาอย่างเป็นเหตุเป็นผล
- การบริหารความเสี่ยง (Risk Management): นี่คือหัวใจสำคัญที่แยกเทรดเดอร์ออกจากนักพนัน โดยมีการใช้ Stop Loss เพื่อจำกัดการขาดทุน, Take Profit เพื่อปิดกำไรอัตโนมัติ และบริหารขนาดตำแหน่งให้สอดคล้องกับเงินทุนในบัญชี
- แผนการเทรด (Trading Plan): เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะมีแผนการที่ชัดเจน ระบุกลยุทธ์การเข้า-ออก คู่เงินที่เน้น ช่วงเวลาที่เทรด และกฎการบริหารความเสี่ยงที่ทำตามอย่างเคร่งครัด โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามาแทรก
ดังนั้น คำตอบคือ การเทรดจะเป็นการพนันหรือไม่ ขึ้นอยู่กับวิธีการและทัศนคติของผู้เทรด หากคุณเข้ามาโดยไม่รู้อะไรเลย ก็เหมือนโยนลูกเต๋าเสี่ยงโชค แต่ถ้าคุณมีความรู้ วินัย และแผนที่ชัดเจน การเทรดคือการลงทุนที่มีการวิเคราะห์ ประเมินผล และจัดการความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ
ข้อดีและความเสี่ยงของการเทรดสกุลเงิน
เช่นเดียวกับช่องทางการลงทุนอื่น ๆ ตลาด Forex มีทั้งข้อได้เปรียบและความเสี่ยงที่ควรรับรู้ล่วงหน้า เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวและตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
ข้อดี (Pros) | ความเสี่ยง (Cons) |
---|---|
สภาพคล่องสูง: ด้วยมูลค่าการซื้อขายต่อวันที่มหาศาล คุณสามารถซื้อหรือขายสกุลเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องรอผู้ซื้อหรือผู้ขาย | ความผันผวนสูง: ราคาสามารถขยับขึ้นลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวเศรษฐกิจสำคัญหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน |
ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง: ไม่จำเป็นต้องรอให้ราคาขึ้นเพียงอย่างเดียว คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งเมื่อคาดว่าราคาจะลดลงด้วย | ความเสี่ยงจาก Leverage: แม้จะช่วยขยายผลกำไร แต่ยังสามารถทำให้ขาดทุนเร็วกว่าที่คิด ยิ่งใช้เลเวอเรจสูง ความเสี่ยงยิ่งมาก |
เริ่มต้นง่าย ใช้ทุนน้อย: หลายโบรกเกอร์เปิดโอกาสให้คุณเริ่มต้นเทรดได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่ร้อยบาท | ต้องใช้ความรู้และวินัยสูง: การขาดความรู้ หรือการควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เช่น โลภหรือกลัวเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้เริ่มต้นล้มเหลว |
เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา: ด้วยแอปพลิเคชันบนมือถือ คุณสามารถติดตามกราฟและจัดการคำสั่งได้จากทุกที่ | ความเสี่ยงจากข่าวล่วงหน้า: เหตุการณ์ทางการเมือง ความไม่สงบ หรือวิกฤตโลกสามารถทำให้ตลาดเคลื่อนทิศทางอย่างรุนแรงได้ทันที |
วิธีเริ่มต้นเทรดสกุลเงินสำหรับมือใหม่ (Step-by-Step)
หากคุณรู้สึกว่าพร้อมแล้วที่จะทดลองเส้นทางนี้ นี่คือขั้นตอนที่คุณควรทำตามอย่างเป็นระบบเพื่อเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จ
ขั้นตอนที่ 1: ศึกษาและเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง
อย่าเพิ่งรีบนำเงินจริงเข้าสู่ตลาด ใช้เวลาศึกษาให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหลักการวิเคราะห์เทคนิค กลยุทธ์การบริหารความเสี่ยง หรือจิตวิทยาการเทรด ยิ่งคุณมีความรู้มากเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งตัดสินใจได้ดีขึ้นเท่านั้น หนังสือ วิดีโอสอน หรือเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้สามารถช่วยคุณพัฒนาทักษะได้ในระดับมืออาชีพ
ขั้นตอนที่ 2: เลือกโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้
โบรกเกอร์คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของคุณ ควรพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีชื่อเสียง (เช่น FCA, ASIC, CySEC), ค่าสเปรดที่แข่งขันได้, แพลตฟอร์มการเทรดที่เสถียร และระบบการฝาก-ถอนที่รวดเร็ว ตัวอย่างโบรกเกอร์ที่ได้รับความนิยมและมีมาตรฐานสูงคือ Moneta Markets ซึ่งมีใบอนุญาตจาก ASIC และให้บริการแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับทั้งมือใหม่และมืออาชีพ
ขั้นตอนที่ 3: เริ่มต้นกับบัญชีทดลอง (Demo Account)
อย่าข้ามขั้นตอนนี้เด็ดขาด บัญชีทดลองช่วยให้คุณได้สัมผัสตลาดจริงด้วยเงินจำลอง โดยไม่ต้องเสี่ยงกับเงินจริง ใช้โอกาสนี้ทดสอบกลยุทธ์ ทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม และเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ จนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในสภาพแวดล้อมนี้
ขั้นตอนที่ 4: สร้างแผนการเทรดของตัวเอง
ก่อนเข้าสู่บัญชีจริง ต้องมีแผนการที่ชัดเจน ระบุว่าจะเทรดคู่เงินใด ใช้กลยุทธ์อะไร ขนาดออเดอร์เท่าไร และตั้งค่า Stop Loss และ Take Profit อย่างไร เพื่อป้องกันการสูญเสียมากเกินไป กฎพื้นฐานคืออย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
ขั้นตอนที่ 5: เริ่มต้นด้วยเงินจริงในปริมาณน้อย
เมื่อคุณมั่นใจแล้ว ให้เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนที่คุณสามารถยอมเสียได้โดยไม่กระทบชีวิตประจำวัน วัตถุประสงค์ในช่วงนี้คือการฝึกการใช้แผนจริงในตลาดจริง ไม่ใช่การพยายามทำกำไรก้อนใหญ่ทันที
บทสรุป: ก้าวต่อไปในเส้นทางการเทรดสกุลเงิน
การเทรดสกุลเงินคือการเดินทางที่ท้าทายและเต็มไปด้วยบทเรียน แม้จะมีศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเข้าใจว่า นี่ไม่ใช่ทางลัดสู่ความรวย แต่เป็นทักษะที่ต้องใช้เวลา เรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
บทความนี้ได้ให้พื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมดตั้งแต่ความหมายของ Forex กลไกตลาด คำศัพท์สำคัญ ไปจนถึงขั้นตอนการเริ่มต้นอย่างมีระบบ ก้าวต่อไปของคุณคือการลงมือทำอย่างมีวินัย เริ่มจากการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ใช้บัญชี Demo ให้เต็มที่ และเตรียมจิตใจให้พร้อมกับทั้งชัยชนะและความผิดพลาด เพราะทุกครั้งที่คุณเทรด คือโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
เทรดสกุลเงินต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?
โดยทั่วไป โบรกเกอร์หลายแห่งอนุญาตให้เริ่มต้นได้ตั้งแต่ $10 ถึง $100 (ประมาณ 350-3,500 บาท) อย่างไรก็ตาม เพื่อให้สามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่แนะนำให้เริ่มต้นด้วยเงินทุนอย่างน้อย $200-$500 (ประมาณ 7,000-17,500 บาท) เพื่อให้มีพื้นที่ในการจัดการออเดอร์และรับมือกับความผันผวนของตลาดได้ดีขึ้น
การเทรดสกุลเงิน (Forex) ถูกกฎหมายในประเทศไทยหรือไม่?
สถานะทางกฎหมายยังไม่ชัดเจน ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่รองรับการจัดตั้งโบรกเกอร์ Forex ในประเทศโดยตรง อย่างไรก็ตาม การที่คนไทยจะเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลที่เชื่อถือได้ ไม่ถือว่าผิดกฎหมาย แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการโอนเงินและควรเลือกโบรกเกอร์ที่มีความโปร่งใสสูง
มือใหม่ควรเลือกเทรดคู่สกุลเงินไหนดี?
มือใหม่ควรเริ่มต้นกับคู่สกุลเงินหลัก (Major Pairs) เช่น EUR/USD, GBP/USD หรือ USD/JPY เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง ค่าสเปรดต่ำ และการเคลื่อนไหวของราคาค่อนข้างคาดการณ์ได้ง่ายกว่า ทำให้เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเรียนรู้
บัญชี Demo กับบัญชีจริงแตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดคือ “จิตวิทยา” บัญชี Demo ใช้เงินจำลอง ทำให้คุณสามารถเทรดได้อย่างไม่กังวล แต่บัญชีจริงมีความกดดันจากความกลัวการสูญเสียและความโลภที่อาจทำให้คุณตัดสินใจผิดพลาด แม้ว่าจะมีกลยุทธ์เดียวกัน
การเทรดสกุลเงินมีความเสี่ยงสูงสุดคืออะไร?
ความเสี่ยงที่สูงที่สุดคือการสูญเสียเงินทั้งหมดในบัญชี หรือในบางกรณีสูญเสียมากกว่าที่มีในบัญชี (หากไม่มีระบบ Negative Balance Protection) ซึ่งมักเกิดจากการใช้เลเวอเรจสูงเกินไปและไม่ตั้ง Stop Loss
เราสามารถเทรดสกุลเงินผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือได้หรือไม่?
ได้แน่นอน โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เช่น Moneta Markets ให้บริการแพลตฟอร์มที่รองรับทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ เช่น MetaTrader 4 และ MetaTrader 5 ซึ่งช่วยให้คุณติดตามกราฟและจัดการออเดอร์ได้จากทุกที่ อย่างไรก็ตาม วิเคราะห์รายละเอียดได้ดีกว่าบนหน้าจอใหญ่
จำเป็นต้องดูกราฟตลอดเวลาหรือไม่?
ไม่จำเป็น ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด ผู้ที่เทรดระยะสั้น (Scalping) อาจต้องเฝ้ากราฟบ่อย แต่ผู้ที่เทรดระยะยาว (Swing หรือ Position Trading) สามารถตั้งคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้าและตรวจสอบเพียงวันละครั้งหรือสัปดาห์ละครั้ง
การเทรดสกุลเงินกับการเทรดหุ้นแตกต่างกันอย่างไร?
ความแตกต่างสำคัญมีดังนี้:
- สินทรัพย์ที่เทรด: Forex เน้นการเก็งกำไรค่าเงิน ในขณะที่หุ้นคือการซื้อขายหุ้นของบริษัท
- เวลาทำการ: Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ ต่างจากหุ้นที่มีเวลาเปิด-ปิดเฉพาะ
- สภาพคล่อง: Forex มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงกว่าหุ้นมาก
- Leverage: โบรกเกอร์ Forex ให้เลเวอเรจสูงกว่าโดยทั่วไป ข้อมูลจาก Bloomberg แสดงให้เห็นถึงปริมาณการซื้อขายที่มหาศาลในแต่ละวัน