ในโลกของการลงทุนและธุรกิจที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การป้องกันความเสี่ยงถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนและผู้ประกอบการปกป้องสินทรัพย์และผลกำไรจากความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันความเสี่ยง ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐานไปจนถึงการนำไปใช้ในตลาดการเงินไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น กองทุนรวม หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล เพื่อช่วยให้คุณจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้นและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับพอร์ตการลงทุน

การป้องกันความเสี่ยงคืออะไร หลักการทำงานและความสำคัญ
ความหมายของการป้องกันความเสี่ยง
การป้องกันความเสี่ยงคือกลยุทธ์ในการบริหารจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่มุ่งลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงราคาที่ไม่คาดคิดในสินทรัพย์หรือหนี้สินที่ถืออยู่ เป้าหมายหลักอยู่ที่การป้องกันการสูญเสียจากความไม่แน่นอนของตลาด มากกว่าการมุ่งหาผลตอบแทนสูงสุด
หลักการพื้นฐานคือการสร้างสถานะที่ตรงข้ามกันเพื่อชดเชย หากสินทรัพย์หลักมีมูลค่าลดลงจากปัจจัยภายนอก สถานะป้องกันนี้จะช่วยลดผลขาดทุนสุทธิ หรือบางกรณีอาจทำให้ไม่ได้รับผลกระทบเลย ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนรักษาสมดุลได้ดีกว่า

เหตุผลที่การป้องกันความเสี่ยงมีความสำคัญในตลาดที่ไม่แน่นอน
ในยุคที่ตลาดการเงินทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนจากปัจจัยเศรษฐกิจใหญ่ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การลงทุนจึงเสี่ยงมากขึ้น การใช้กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักลงทุนและธุรกิจดำเนินการต่อไปด้วยความมั่นใจ โดยลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนเหล่านั้น
ตัวอย่างเช่น ผู้ส่งออกที่คาดหวังรับเงินดอลลาร์ในอนาคต หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นระหว่างทาง จะทำให้มูลค่าเงินบาทที่ได้ลดลง การล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้าผ่านกลยุทธ์นี้ช่วยให้วางแผนรายรับได้ชัดเจน แม้ค่าเงินจะผันผวน ทำให้ธุรกิจมีเสถียรภาพในการดำเนินงานมากขึ้น
ประเภทของการป้องกันความเสี่ยง กลยุทธ์และเครื่องมือที่ใช้
กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงมีหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทความเสี่ยงและสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งช่วยให้ปรับใช้ได้เหมาะสมกับสถานการณ์

รูปแบบหลักของกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง
- การป้องกันโดยตรง: ใช้วิธีที่เชื่อมโยงตรงกับสินทรัพย์ เช่น การซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์สของสินค้าชนิดเดียวกันที่ถืออยู่ เพื่อให้การชดเชยเกิดขึ้นอย่างแม่นยำ
- การป้องกันข้ามประเภท: เหมาะสำหรับกรณีที่ไม่มีเครื่องมือตรงตัว หรือสภาพคล่องน้อย โดยใช้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องใกล้เคียง เช่น สัญญาฟิวเจอร์สของดัชนีตลาดหุ้นเพื่อปกป้องหุ้นรายตัวในพอร์ต
- การป้องกันโดยธรรมชาติ: เกิดจากการจัดโครงสร้างธุรกิจให้สมดุลเอง เช่น บริษัทที่มีรายรับและรายจ่ายในสกุลเงินเดียวกัน จะลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเพิ่มเติม
เครื่องมือหลักสำหรับการป้องกันความเสี่ยง: ตราสารอนุพันธ์
ตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือสำคัญเพราะมูลค่าขึ้นกับสินทรัพย์อ้างอิง สามารถนำมาใช้ทั้งป้องกันและเก็งกำไรได้อย่างยืดหยุ่น
- สัญญาฟิวเจอร์ส:
สัญญาฟิวเจอร์สคือข้อตกลงมาตรฐานที่กำหนดให้ซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตที่ราคาและวันกำหนด ผู้ที่กลัวราคาขึ้นอาจซื้อสัญญา (long position) ในขณะที่กลัวราคาลงอาจขายสัญญา (short position) เพื่อชดเชย
ตัวอย่างเช่น เกษตรกรปลูกข้าวโพดสามารถขายสัญญาฟิวเจอร์สล่วงหน้าเพื่อกำหนดราคาขายผลผลิต ป้องกันกรณีที่ราคาตกเมื่อเก็บเกี่ยว ทำให้รายได้คาดการณ์ได้
- สัญญาออปชัน:
สัญญาออปชันให้สิทธิ์แต่ไม่บังคับให้ซื้อ (call option) หรือขาย (put option) สินทรัพย์ที่ราคากำหนด (strike price) ภายในเวลาที่ตั้งไว้ โดยจ่ายค่าธรรมเนียมที่เรียกว่าพรีเมียม
- call option: ใช้ป้องกันราคาขึ้น
- put option: ใช้ป้องกันราคาลง
ตัวอย่าง นักลงทุนถือหุ้นและกังวลว่าราคาจะตก อาจซื้อ put option หากราคาหุ้นลดลง กำไรจากออปชันจะช่วย offsetting การสูญเสียจากหุ้น
- สัญญาฟอร์เวิร์ด:
สัญญาฟอร์เวิร์ดคล้ายฟิวเจอร์สแต่ไม่มาตรฐาน ทำนอกตลาดหลัก (OTC) และปรับเงื่อนไขได้ตามต้องการ เหมาะสำหรับความเสี่ยงเฉพาะ
ตัวอย่าง บริษัทนำเข้าของไทยที่ต้องจ่ายเงิน USD ใน 3 เดือน สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดกับธนาคารเพื่อล็อกอัตรา THB/USD ป้องกันเงินบาทอ่อนค่า
ตารางเปรียบเทียบเครื่องมือยอดนิยมในการป้องกันความเสี่ยง
| เครื่องมือ | ลักษณะ | ความยืดหยุ่น | มาตรฐาน | ตลาด |
|---|---|---|---|---|
| ฟิวเจอร์ส | สิทธิ์และภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต | ต่ำ (มาตรฐานสูง) | สูง | ตลาดหลักทรัพย์ (เช่น TFEX) |
| ออปชัน | สิทธิ์แต่ไม่ภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต | ปานกลาง (มี Strike Price, วันหมดอายุ) | สูง | ตลาดหลักทรัพย์ (เช่น TFEX) |
| ฟอร์เวิร์ด | ภาระผูกพันในการซื้อ/ขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต | สูง (ปรับแต่งได้) | ต่ำ (ไม่ใช่มาตรฐาน) | นอกตลาดหลักทรัพย์ (OTC) |
การนำการป้องกันความเสี่ยงไปใช้ในตลาดการเงินไทย: กรณีศึกษา
ในประเทศไทย การป้องกันความเสี่ยงถูกนำไปใช้ในหลายตลาด โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความผันผวนของค่าเงิน ตลาดหุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจและนักลงทุนรับมือได้ดีขึ้น
การป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: การดูแลค่าเงินบาท
สำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออกและนักลงทุนข้ามสกุลเงิน การจัดการความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะกับเงินบาทเทียบกับสกุลเงินหลักอย่าง USD, EUR หรือ JPY
ตัวอย่างการใช้ในไทย:
- ธุรกิจส่งออก: บริษัทที่คาดรับ USD ใน 3 เดือน หากกลัวเงินบาทแข็ง สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดขาย USD กับธนาคารอย่างธนาคารกรุงเทพหรือธนาคารกสิกรไทย เพื่อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนวันนี้ ทำให้รายรับเงินบาทแน่นอน
- ธุรกิจนำเข้า: บริษัทที่ต้องจ่าย USD ใน 6 เดือน สามารถทำสัญญาฟอร์เวิร์ดซื้อ USD เพื่อป้องกันเงินบาทอ่อน ทำให้ไม่ต้องใช้เงินบาทเพิ่ม
ธนาคารแห่งประเทศไทยให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงนี้ โดยออกแนวทางเพื่อช่วย SMEs เข้าถึงเครื่องมือได้ง่าย ข้อมูลเพิ่มเติมจาก BOT เกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน
การจัดการพอร์ตการลงทุน: หุ้นและกองทุนรวม
นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือกองทุนรวมต่างๆ สามารถใช้การป้องกันเพื่อลดความผันผวนของพอร์ตได้
- หุ้น: หากถือหุ้นมากและกังวลตลาดลง สามารถ short sell สัญญาฟิวเจอร์ส SET50 ใน TFEX เพื่อชดเชย หากดัชนีตก กำไรจากฟิวเจอร์สจะช่วยพอร์ตหุ้น
- กองทุนรวม: กองทุนที่ลงทุนต่างประเทศมักใช้การป้องกันอัตราแลกเปลี่ยน เช่น กองทุนจาก KTAM ที่ลงทุนสินทรัพย์ต่างแดน รายละเอียดกองทุน KTAM เพื่อรักษามูลค่าหน่วยลงทุนจากความผันผวนค่าเงิน
การป้องกันในตลาดสกุลเงินดิจิทัล
สกุลเงินดิจิทัลมีความผันผวนสูง การป้องกันจึงจำเป็นสำหรับเทรดเดอร์และนักลงทุน แม้เครื่องมือจะแตกต่าง
- ฟิวเจอร์สและ perpetual swaps: แพลตฟอร์มอย่าง Bitkub หรือ Binance มีสัญญาเหล่านี้สำหรับ short sell สกุลเงินดิจิทัลที่ถือ เพื่อป้องกันราคาตก
- stablecoins: การแปลงจากสินทรัพย์ผันผวนอย่าง Bitcoin หรือ Ethereum ไปเป็น stablecoins อย่าง USDT หรือ BUSD ถือเป็นการป้องกันชั่วคราว เพื่อรักษามูลค่า
แพลตฟอร์มในไทยอย่าง Zipmex หรือ Bitkub ช่วยในการเทรดดิจิทัล โดยนักลงทุนใช้กลยุทธ์นี้จัดการความเสี่ยงราคา โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวรุนแรง
ต้นทุนและข้อจำกัดในการป้องกันความเสี่ยง: มุมมองในตลาดไทย
แม้การป้องกันจะมีประโยชน์ แต่ต้องพิจารณาค่าใช้จ่ายและข้อจำกัดให้รอบคอบ โดยเฉพาะในบริบทไทย
ต้นทุนที่เกี่ยวข้อง
การป้องกันไม่ได้ฟรี มีค่าใช้จ่ายต่างๆ ดังนี้:
- พรีเมียม: สำหรับสัญญาออปชัน
- ค่าธรรมเนียมและคอมมิชชั่น: จากโบรกเกอร์หรือธนาคาร
- ส่วนต่างราคา: ระหว่างซื้อและขาย
- ต้นทุนดอกเบี้ย: จากการกู้หรือความแตกต่างสกุลเงินในฟอร์เวิร์ด
ในไทย ค่าธรรมเนียม TFEX หรือสัญญากับธนาคารแตกต่างกัน ควรเปรียบเทียบ ค่าธรรมเนียม TFEX หรือสอบถามธนาคารโดยตรงเพื่อเลือกทางเลือกที่คุ้มค่า
ข้อจำกัดและความเสี่ยง
- จำกัดโอกาสกำไร: ลดความเสี่ยงแต่ก็ลดโอกาสกำไรเต็มที่ หากตลาดไปทางบวก
- ความเสี่ยงฐาน: เมื่อเครื่องมือไม่เคลื่อนไหวตรงกับสินทรัพย์ ทำให้ป้องกันไม่สมบูรณ์
- การป้องกันไม่พอหรือเกิน: จากการคำนวณสัดส่วนผิด อาจเสียมากกว่าประโยชน์
- ความเสี่ยงสภาพคล่อง: ในบางตลาดหรือเครื่องมือ อาจยากที่จะเปิดหรือปิดสถานะในราคาที่ต้องการ
มุมมองขั้นสูง: กองทุนเฮดจ์และการบัญชีป้องกันความเสี่ยง
นอกจากการใช้สำหรับบุคคลและธุรกิจ ยังมีแนวคิดที่ซับซ้อนกว่านั้นในระดับสถาบัน
กองทุนเฮดจ์คืออะไร
กองทุนเฮดจ์คือกองทุนลงทุนที่ใช้กลยุทธ์ซับซ้อน เช่น อนุพันธ์ การกู้ยืม หรือ long/short เพื่อผลตอบแทนสูงในทุกสภาวะตลาด แม้ชื่อมีคำว่าเฮดจ์ แต่เน้นกำไรเป็นหลัก ไม่ใช่แค่ป้องกัน มักเปิดเฉพาะนักลงทุนสถาบันหรือผู้มีคุณสมบัติ
บทนำการบัญชีป้องกันความเสี่ยง
การบัญชีป้องกันคือมาตรฐานที่ช่วยบันทึกผลกระทบการป้องกันในงบการเงินให้ตรงกัน โดยจับคู่กำไรขาดทุนจากเครื่องมือกับรายการที่ป้องกัน เพื่อลดความผันผวนในงบกำไรขาดทุน
ในไทย ใช้ TFRS 9 ซึ่งสอดคล้อง IFRS 9 ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด เช่น ระบุความสัมพันธ์และประเมินประสิทธิภาพ ทำให้งบการเงินสะท้อนสถานะจริง
สรุป: การใช้การป้องกันความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดในตลาดไทย
การป้องกันความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงที่ทรงพลังสำหรับนักลงทุนและธุรกิจในตลาดไทยที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ไม่ว่าจะป้องกันรายได้ส่งออกจากค่าเงิน ลงทุนหุ้นจากความเสี่ยงขาลง หรือจัดการดิจิทัลจากผันผวน ช่วยเพิ่มความมั่นคงให้พอร์ต
แต่การเลือกเครื่องมือต้องเข้าใจความเสี่ยง ต้นทุน และข้อจำกัดให้ถ่องแท้ การตัดสินใจอย่างรอบคอบและติดตามข้อมูลจะช่วยให้ใช้กลยุทธ์นี้ปกป้องและยกระดับสถานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจไทยที่เผชิญปัจจัยภายนอกมากมาย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Hedge ค่าเงิน ทำยังไงในบริบทของธุรกิจส่งออก/นำเข้าของไทย?
ธุรกิจส่งออก/นำเข้าในไทยนิยมใช้สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contract) กับธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารกรุงเทพ หรือ ธนาคารกสิกรไทย เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า โดยผู้ส่งออกจะทำสัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า ส่วนผู้นำเข้าจะทำสัญญาซื้อเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินบาท
การเทรดแบบ hedging คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไรสำหรับนักลงทุนไทย?
การเทรดแบบ Hedging คือการเข้าทำธุรกรรมเพื่อลดความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ โดยมักใช้ตราสารอนุพันธ์ เช่น ฟิวเจอร์ส หรือออปชัน
- ข้อดีสำหรับนักลงทุนไทย: ช่วยลดความเสี่ยงการขาดทุน, สร้างความมั่นคงให้พอร์ตการลงทุน, ช่วยให้สามารถวางแผนการลงทุนได้แม่นยำขึ้น
- ข้อเสียสำหรับนักลงทุนไทย: มีต้นทุน (ค่าพรีเมียม, ค่าธรรมเนียม), อาจจำกัดโอกาสทำกำไรสูงสุด, มีความเสี่ยงฐาน (Basis Risk) และความเสี่ยงในการคำนวณสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ คืออะไร แตกต่างจากกองทุนรวมทั่วไปอย่างไรในตลาดไทย?
กองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) เป็นกองทุนที่เน้นกลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อนและหลากหลายเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด มักมีเป้าหมายที่ผลตอบแทนสัมบูรณ์ (Absolute Return) และมีค่าธรรมเนียมสูง โดยทั่วไปจะเปิดรับเฉพาะนักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้น
ในขณะที่กองทุนรวมทั่วไปในตลาดไทย เช่น กองทุนรวมหุ้น หรือกองทุนรวมตราสารหนี้ จะมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนและจำกัดกว่า เน้นการลงทุนตามดัชนีหรือกลุ่มสินทรัพย์ และเปิดรับนักลงทุนรายย่อยได้ทั่วไปภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
Hedging มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับสถานการณ์การลงทุนแบบไหนในไทย?
ประเภทหลักๆ ได้แก่:
- Direct Hedging: เหมาะสำหรับสินทรัพย์ที่มีเครื่องมืออนุพันธ์รองรับโดยตรง เช่น การใช้ฟิวเจอร์ส SET50 เพื่อป้องกันความเสี่ยงหุ้นในดัชนี SET50
- Cross Hedging: เหมาะเมื่อไม่มีเครื่องมือโดยตรง เช่น การใช้ฟิวเจอร์สดัชนีเพื่อป้องกันหุ้นรายตัวที่ไม่มีฟิวเจอร์สเฉพาะ
- Natural Hedging: เหมาะสำหรับธุรกิจที่มีรายรับและรายจ่ายเป็นสกุลเงินเดียวกัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนโดยธรรมชาติ
วิธี Hedge ค่าเงินบาทกับดอลลาร์สหรัฐฯ มีเครื่องมืออะไรบ้างที่เข้าถึงได้ในไทย?
ในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือหลักๆ ได้แก่:
- สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forward Contracts): ทำกับธนาคารพาณิชย์โดยตรง เป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจนำเข้า-ส่งออก
- สัญญาฟิวเจอร์สค่าเงิน (Currency Futures): ซื้อขายในตลาด TFEX เช่น USD Futures
- ออปชันค่าเงิน (Currency Options): ซื้อขายในตลาด TFEX (หากมีสินค้า) หรือทำกับธนาคาร
Hedging Cost คืออะไร และมีวิธีลดต้นทุนการทำ Hedging สำหรับนักลงทุนไทยอย่างไร?
Hedging Cost คือต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยง เช่น ค่าพรีเมียมของออปชัน, ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย, ค่าสเปรด และต้นทุนดอกเบี้ย
วิธีลดต้นทุนสำหรับนักลงทุนไทย:
- เลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับขนาดและประเภทความเสี่ยง
- เปรียบเทียบค่าธรรมเนียมจากโบรกเกอร์หรือธนาคารหลายแห่ง
- ใช้กลยุทธ์ Hedging แบบบางส่วน (Partial Hedging) แทนการ Hedging เต็มจำนวน
- ใช้ Natural Hedging หากเป็นไปได้ในบริบทธุรกิจ
การทำ Hedging ในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในไทย มีความเสี่ยงและข้อควรระวังอะไรบ้าง?
การทำ Hedging ในตลาดคริปโตฯ ในไทยมีความเสี่ยงสูงเนื่องจาก:
- ความผันผวนสูง: ราคาคริปโตฯ เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก ทำให้การคำนวณสัดส่วน Hedging ยาก
- สภาพคล่อง: ตลาดอนุพันธ์คริปโตฯ บางแห่งอาจมีสภาพคล่องจำกัด
- ความเสี่ยงด้านกฎระเบียบ: กฎหมายและข้อบังคับเกี่ยวกับคริปโตฯ ในไทยยังอยู่ในช่วงพัฒนา
- ความเสี่ยงของแพลตฟอร์ม: แพลตฟอร์มที่ให้บริการอนุพันธ์อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหรือการกำกับดูแล
ควรศึกษาแพลตฟอร์มและเครื่องมือให้ดี และลงทุนด้วยความระมัดระวัง
ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีคำแนะนำเกี่ยวกับการทำ FX Hedging สำหรับธุรกิจไทยอย่างไร?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) สนับสนุนให้ธุรกิจไทย โดยเฉพาะ SMEs ใช้เครื่องมือ FX Hedging เพื่อบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน โดยได้มีการปรับปรุงกฎเกณฑ์และอำนวยความสะดวกให้เข้าถึงเครื่องมือเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น BOT แนะนำให้ธุรกิจประเมินความเสี่ยงของตนเองและเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารความเสี่ยงค่าเงินอย่างต่อเนื่อง
นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือ Hedging ได้ผ่านช่องทางใดบ้าง?
นักลงทุนรายย่อยในไทยสามารถเข้าถึงเครื่องมือ Hedging ได้ผ่านช่องทางหลักๆ ดังนี้:
- ตลาด TFEX (Thailand Futures Exchange): สามารถซื้อขาย SET50 Index Futures, Single Stock Futures, Gold Futures และ Currency Futures ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาต
- ธนาคารพาณิชย์: สำหรับสัญญาฟอร์เวิร์ดสกุลเงิน (สำหรับผู้ประกอบการหรือนักลงทุนที่มีวงเงิน)
- แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซี: สำหรับอนุพันธ์คริปโตฯ (ต้องตรวจสอบกฎหมายและแพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตในไทย)
Hedging strategy คืออะไร? มีกลยุทธ์ไหนที่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของไทย?
Hedging strategy คือแผนการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวนของตลาด
สำหรับภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันของไทยที่อาจมีความผันผวนสูงจากปัจจัยภายนอกและอัตราดอกเบี้ย:
- สำหรับผู้ส่งออก/นำเข้า: การใช้ Currency Forward หรือ Currency Futures เพื่อล็อกอัตราแลกเปลี่ยน THB/USD เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญ
- สำหรับนักลงทุนในหุ้น: การใช้ SET50 Index Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงขาลงของตลาดโดยรวม หรือ Put Option เพื่อป้องกันความเสี่ยงของหุ้นรายตัว
- สำหรับนักลงทุนคริปโตฯ: การใช้ Stablecoins หรือ Short Futures (หากมี) เพื่อป้องกันความผันผวนรุนแรง
การเลือกกลยุทธ์ควรพิจารณาจากสินทรัพย์ที่ถือครอง ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และมุมมองต่อตลาดในอนาคต