ROE ย่อมาจากอะไร: ทำไมนักลงทุนต้องรู้และเข้าใจผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น

ROE ย่อมาจากอะไร? ทำไม “ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น” ถึงสำคัญ

ROE คือ Return On Equity หรือที่รู้จักในภาษาไทยว่า **อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น** ซึ่งถือเป็นตัวชี้วัดทางการเงินที่นักลงทุนให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะช่วยสะท้อนให้เห็นว่าบริษัทนั้นๆ ใช้เงินทุนจากผู้ถือหุ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้หรือไม่ สรุปสั้นๆ คือ มันบอกเราว่าทุกบาทที่ผู้ถือหุ้นนำมาลงทุน บริษัทสามารถเปลี่ยนเป็นกำไรสุทธิได้มากน้อยแค่ไหน

An illustration of a happy investor looking at a growing company chart with money bags shareholder funds profit

การศึกษาความหมายของ ROE ไม่ได้หยุดอยู่แค่สูตรคำนวณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการมองภาพรวมว่าบริษัทบริหารจัดการเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจได้ดีขนาดไหน หากตัวเลข ROE สูง แสดงถึงความชำนาญในการสร้างกำไรและการจัดการทรัพยากร ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักลงทุนที่ต้องการบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตและเพิ่มมูลค่าให้กับการลงทุนของตนเอง โดยเฉพาะในระยะยาวที่การเติบโตอย่างยั่งยืนเป็นสิ่งที่ทุกคนมองหา

สูตรคำนวณ ROE และวิธีหาข้อมูลจากงบการเงิน

การหาค่า ROE ทำได้ไม่ยากเลย เพียงใช้ตัวเลขจากงบการเงินของบริษัทที่เปิดเผยต่อสาธารณะเท่านั้นเอง

**สูตรคำนวณ ROE:**
ROE = **กำไรสุทธิ** (Net Profit) / **ส่วนของผู้ถือหุ้น** (Shareholders’ Equity)

* **กำไรสุทธิ (Net Profit):** หมายถึงรายได้ที่เหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและภาษีทั้งหมด ซึ่งหาได้จาก **งบกำไรขาดทุน** (Income Statement) ที่แสดงภาพรวมผลประกอบการของบริษัท
* **ส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Equity):** คือมูลค่าสุทธิที่เป็นของเจ้าของธุรกิจ รวมทุนจดทะเบียน กำไรสะสม และส่วนต่างจากมูลค่าหุ้น ซึ่งพบได้ใน **งบแสดงฐานะการเงิน** (Balance Sheet) ภายใต้หัวข้อหนี้สินและส่วนของผู้ถือหุ้น

**ตัวอย่างการคำนวณ ROE:**
ลองนึกภาพบริษัท A ที่มีกำไรสุทธิ 200 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 1,000 ล้านบาท
ROE = 200 ล้านบาท / 1,000 ล้านบาท = 0.20 หรือ 20%
นั่นหมายความว่า สำหรับทุก 100 บาทที่ผู้ถือหุ้นลงทุน บริษัทสามารถนำไปสร้างกำไรสุทธิได้ 20 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่าพอใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาการเติบโต

An illustration of a company efficiently managing shareholder funds with gears and money flowing into profits

ROE ที่ดีควรเป็นเท่าไร? การตีความและเกณฑ์เปรียบเทียบ

ไม่มีเกณฑ์ตายตัวว่าค่า ROE เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่า “ดี” เพราะมันขึ้นอยู่กับบริบท เช่น ลักษณะของอุตสาหกรรมหรือระยะการพัฒนาของบริษัทนั้นๆ แต่จากประสบการณ์ทั่วไป ค่า ROE ที่เกิน 15-20% มักถูกมองว่าแข็งแกร่ง สะท้อนถึงศักยภาพในการสร้างกำไรที่โดดเด่น

เพื่อให้การประเมินแม่นยำยิ่งขึ้น นักลงทุนควรนำ ROE ไปเทียบกับ:
* ค่าเฉลี่ยของบริษัทคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน หากสูงกว่าก็ถือว่าบริษัทนั้นมีข้อได้เปรียบ
* ข้อมูลย้อนหลังของบริษัทตัวเอง ถ้าแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แสดงถึงการพัฒนาที่ดี แต่ถ้าผันผวนหรือลดลง อาจต้องสืบหาสาเหตุเพิ่มเติม

ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ นักลงทุนควรสำรวจค่าเฉลี่ย ROE ในอุตสาหกรรมที่สนใจให้ละเอียด เช่น บริษัทเทคโนโลยีมักมี ROE สูงกว่าบริษัทสาธารณูปโภคที่ต้องพึ่งพาสินทรัพย์หนักๆ เพื่อให้การเปรียบเทียบมีความสมเหตุสมผลและช่วยหลีกเลี่ยงการตีความที่คลาดเคลื่อน

An illustration of a whiteboard showing ROE formula Net Profit divided by Shareholders Equity with financial documents

ROE กับ ROA และอัตราส่วนทางการเงินอื่น ๆ แตกต่างกันอย่างไร?

แม้ ROE จะเป็นเครื่องมือหลักที่นักลงทุนชื่นชอบ แต่ก็ควรพิจารณาควบคู่กับอัตราส่วนอื่นๆ เพื่อภาพรวมที่ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ ROA หรือ Return On Assets ที่มักถูกนำมาเปรียบเทียบ

* **ROE (Return On Equity):** มุ่งวัดว่าบริษัทสร้างกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้นได้ดีแค่ไหน
* **ROA (Return On Assets):** ดูภาพใหญ่กว่านั้น โดยประเมินกำไรที่เกิดจากสินทรัพย์ทั้งหมด ไม่ว่าจะมาจากทุนผู้ถือหุ้นหรือหนี้สิน

จุดต่างหลักคือ ROA ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากระดับหนี้มากนัก เพราะคำนวณจากกำไรสุทธิหารด้วยสินทรัพย์รวม ในทางตรงกันข้าม ROE ใช้ส่วนของผู้ถือหุ้นเป็นตัวหาร ซึ่งถ้าบริษัทกู้ยืมเยอะ ส่วนนี้จะเล็กลง ทำให้ ROE ดูสูงเกินจริงหากมีการใช้ leverage มากเกินไป สิ่งนี้ช่วยเตือนให้นักลงทุนระวังความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่

นอกจากสองตัวนี้ ยังมี ROIC หรือ Return On Invested Capital ที่ครอบคลุมเงินลงทุนทั้งหมด รวมหนี้ระยะยาวและทุนผู้ถือหุ้น ซึ่งให้มุมมองที่กว้างขวางกว่าเกี่ยวกับประสิทธิภาพการลงทุน การนำอัตราส่วนเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกัน จะช่วยให้เข้าใจสุขภาพทางการเงินของบริษัทได้รอบด้านและหลีกเลี่ยงการมองข้ามจุดอ่อน

[ตาราง: เปรียบเทียบ ROE, ROA, และ ROIC]
| อัตราส่วน | คำอธิบาย | สูตรคำนวณเบื้องต้น |
| :——– | :———————————————— | :———————— |
| ROE | ผลตอบแทนต่อเงินทุนของผู้ถือหุ้น | กำไรสุทธิ / ส่วนของผู้ถือหุ้น |
| ROA | ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ทั้งหมด | กำไรสุทธิ / สินทรัพย์รวม |
| ROIC | ผลตอบแทนต่อเงินลงทุนทั้งหมด | กำไรจากการดำเนินงานหลังหักภาษี / เงินลงทุน |

เจาะลึก ROE ด้วย DuPont Analysis: เข้าใจที่มาของผลตอบแทน

หากต้องการขุดลึกถึงรากเหง้าของ ROE นักลงทุนสามารถอาศัย DuPont Analysis ซึ่งเป็นวิธีวิเคราะห์ที่แยก ROE ออกเป็นสามส่วนหลัก เพื่อดูว่าปัจจัยไหนที่ขับเคลื่อนตัวเลขนี้

1. **อัตรากำไรสุทธิ (Profit Margin):** เช็คว่าจากยอดขาย 1 บาท บริษัทเก็บกำไรสุทธิไว้ได้เท่าไหร่ (กำไรสุทธิ / ยอดขาย) สะท้อนถึงการควบคุมต้นทุนและการกำหนดราคาที่ชาญฉลาด
2. **อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ (Asset Turnover):** ประเมินว่าสินทรัพย์ที่ลงทุนไปสร้างยอดขายได้มากน้อยแค่ไหน (ยอดขาย / สินทรัพย์รวม) ซึ่งบอกถึงการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
3. **อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ ตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity Multiplier):** ดูระดับการกู้ยืมที่ช่วยขยายผลตอบแทน (สินทรัพย์รวม / ส่วนของผู้ถือหุ้น) ถ้าสูงเกิน อาจหมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

**สูตร DuPont Analysis:**
ROE = **อัตรากำไรสุทธิ** x **อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์** x **ตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้น**

เครื่องมือนี้มีประโยชน์มากเพราะช่วยระบุว่าค่า ROE ที่สูงมาจากกำไรดี การบริหารสินทรัพย์เก่ง หรือการใช้หนี้ที่เหมาะสม ทำให้การตัดสินใจลงทุนมีพื้นฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อนำไปวิเคราะห์กลยุทธ์ธุรกิจในระยะยาว

[รูปภาพ: แผนภาพแสดงโครงสร้าง DuPont Analysis ที่แตก ROE ออกเป็น 3 ส่วน]

กรณีศึกษา ROE ในตลาดหุ้นไทย: เรียนรู้จากบริษัทจริง

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูตัวอย่าง ROE ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จากบริษัทในอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจว่าปัจจัยอะไรที่ส่งผลต่อตัวเลขนี้ โดยพิจารณาผ่านกรอบ DuPont

* **บริษัท A (อุตสาหกรรมธนาคาร):** ใช้เงินฝากจากลูกค้าเป็นหลัก ทำให้ตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้นสูง ROE จึงดูดี แต่ต้องตรวจสอบอัตรากำไรสุทธิและคุณภาพสินเชื่อ เช่น หนี้เสีย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
* **บริษัท B (อุตสาหกรรมค้าปลีก):** กำไรต่อหน่วยอาจไม่สูง แต่ชดเชยด้วยการหมุนเวียนสินทรัพย์ที่รวดเร็วจากการขายสินค้าจำนวนมาก ส่งผลให้ ROE อยู่ในระดับที่น่าลงทุน
* **บริษัท C (อุตสาหกรรมเทคโนโลยี):** อาศัยสินทรัพย์น้อยแต่เน้นนวัตกรรม ทำให้อัตรากำไรสุทธิเด่นชัด ROE สูงโดยไม่ต้องพึ่งโครงสร้างทุนหนักหน่วง

[ตาราง: ตัวอย่าง ROE ของบริษัทสมมติในตลาดหุ้นไทย]
| บริษัท | อุตสาหกรรม | ROE ล่าสุด | ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อ ROE (ตาม DuPont) |
| :——- | :———- | :——– | :———————————— |
| บริษัท P | พลังงาน | 18% | อัตรากำไรสุทธิปานกลาง, อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์สูง |
| บริษัท Q | อสังหาริมทรัพย์ | 22% | อัตรากำไรสุทธิสูง, ตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้นสูง |
| บริษัท R | บริการ | 15% | อัตรากำไรสุทธิสูง, อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ปานกลาง |

นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูล ROE ของบริษัทเหล่านี้ได้จากเว็บไซต์ SET ซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับอัตราส่วนทางการเงินจาก SET การศึกษากรณีจริงแบบนี้จะช่วยเสริมทักษะการวิเคราะห์ให้แข็งแกร่งขึ้น

ข้อจำกัดและกับดักของ ROE ที่นักลงทุนต้องระวัง

ROE เป็นตัวชี้วัดที่ทรงพลัง แต่ก็มีจุดอ่อนที่อาจทำให้เกิดการเข้าใจผิด หากไม่ระมัดระวัง นักลงทุนควรตื่นตัวกับประเด็นเหล่านี้:

1. **หนี้สินสูง (Leverage):** เมื่อบริษัทกู้ยืมมาก ส่วนของผู้ถือหุ้นจะหดตัว ทำให้ ROE พุ่งสูง แต่เพิ่มความเสี่ยงล้มละลายได้ ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงของ Equity Multiplier ใน DuPont Analysis
2. **กำไรพิเศษหรือกำไรที่ไม่เกิดขึ้นประจำ:** รายได้ชั่วคราว เช่น จากการขายสินทรัพย์ อาจดัน ROE ชั่วขณะ แต่ไม่รับประกันความยั่งยืน
3. **การซื้อหุ้นคืน (Share Buyback):** ลดจำนวนหุ้นและส่วนทุน ทำให้ ROE สูงโดยไม่ต้องเพิ่มกำไรจริง ซึ่งอาจเป็นกลยุทธ์ที่ดูดีแต่เสี่ยง
4. **ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ:** ถ้าบริษัทขาดทุนสะสมหนัก ค่า ROE จะไร้ความหมายและบ่งบอกปัญหาใหญ่
5. **ความแตกต่างของอุตสาหกรรม:** อย่าเทียบ ROE ระหว่างธุรกิจที่ต่างกันมาก เพราะโครงสร้างทุนและรูปแบบการดำเนินงานไม่เหมือน

เพื่อความปลอดภัย นักลงทุนควรผสม ROE กับตัวชี้วัดอื่น เช่น D/E Ratio สำหรับวัดหนี้ และตรวจสอบคุณภาพกำไรจากงบการเงินให้ละเอียด สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ก็ส่งเสริมความโปร่งใส ซึ่งช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงข้อมูลที่เชื่อถือได้มากขึ้น

สรุป: ใช้ ROE อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการลงทุน

ROE หรือ **อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น** คือเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนประเมินศักยภาพของบริษัทในการแปลงเงินทุนจากผู้ถือหุ้นเป็นกำไรสุทธิได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรู้จักสูตรคำนวณ การตีความตัวเลข และการนำไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งหรือมาตรฐานอุตสาหกรรม จึงเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับทุกคน

แต่การยึดติด ROE เพียงตัวเดียวอาจนำไปสู่ความผิดพลาด นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักใช้ DuPont Analysis เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภายใน และตระหนักถึงข้อจำกัด เช่น ผลจากหนี้หรือกำไรชั่วคราว การรวม ROE กับ ROA, D/E Ratio และปัจจัยเชิงคุณภาพ เช่น การบริหารจัดการ จะทำให้การตัดสินใจลงทุนรอบคอบและเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ ROE (FAQ)

ROE ย่อมาจากอะไรและหมายถึงอะไรในบริบทของการลงทุน?

ROE ย่อมาจาก Return On Equity หรืออัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น หมายถึงความสามารถของบริษัทในการสร้างกำไรจากเงินทุนของผู้ถือหุ้นที่ลงทุนไปในบริษัท ยิ่ง ROE สูงเท่าไร ก็ยิ่งแสดงว่าบริษัทใช้เงินทุนของผู้ถือหุ้นได้มีประสิทธิภาพมากเท่านั้น โดยช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจน

ROE ที่สูงเสมอไปดีจริงหรือ? มีข้อควรระวังอะไรบ้าง?

ไม่เสมอไป ROE ที่สูงมากอาจเกิดจากการใช้หนี้สินจำนวนมาก ทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงและดัน ROE ให้สูงขึ้นโดยที่บริษัทมีความเสี่ยงทางการเงินสูงขึ้น ข้อควรระวังอื่นๆ ได้แก่ กำไรพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นประจำ หรือการซื้อหุ้นคืนที่ลดส่วนของผู้ถือหุ้นลง ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมดูดีเกินจริง

นักลงทุนมือใหม่ควรดู ROE อย่างไรและใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่น ๆ อย่างไร?

นักลงทุนมือใหม่ควรดู ROE ที่มีความสม่ำเสมอและอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม ควรใช้ร่วมกับอัตราส่วนอื่นๆ เช่น ROA เพื่อดูประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์โดยรวม และ D/E Ratio เพื่อประเมินระดับหนี้สินของบริษัท ซึ่งจะช่วยให้เห็นมุมมองที่สมดุลมากขึ้น

บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET มี ROE เฉลี่ยเท่าไร และควรเปรียบเทียบกับอะไร?

ROE เฉลี่ยของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ SET แตกต่างกันไปตามอุตสาหกรรมและช่วงเวลา ไม่มีตัวเลขตายตัวที่แน่นอน ควรเปรียบเทียบ ROE ของบริษัทกับ:

  • คู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ
  • ROE ในอดีตของบริษัทเอง เพื่อดูแนวโน้ม

ถ้า ROE ติดลบหมายความว่าอย่างไร และควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทนั้นหรือไม่?

ROE ติดลบหมายความว่าบริษัทกำลังขาดทุนสุทธิ หรือมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบจากการขาดทุนสะสมอย่างหนัก ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีอย่างยิ่งและบ่งบอกถึงปัญหาทางการเงินที่รุนแรง โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในบริษัทที่มี ROE ติดลบ เว้นแต่มีแผนฟื้นตัวที่ชัดเจน

ROE กับ ROA แตกต่างกันอย่างไร และตัวไหนสำคัญกว่ากัน?

ROE วัดผลตอบแทนต่อเงินทุนของผู้ถือหุ้น ส่วน ROA วัดผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท ไม่มีตัวไหนสำคัญกว่ากันตายตัว แต่ควรใช้ร่วมกัน ROE ช่วยประเมินผลตอบแทนสำหรับผู้ถือหุ้นโดยตรง ส่วน ROA ช่วยประเมินประสิทธิภาพการใช้สินทรัพย์โดยรวมโดยไม่คำนึงถึงแหล่งเงินทุน ซึ่งทั้งคู่เติมเต็มกันได้ดี

การคำนวณ ROE มีขั้นตอนอย่างไร และสามารถหาข้อมูลได้จากที่ไหน?

ขั้นตอนคือ นำกำไรสุทธิ (Net Profit) หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น (Shareholders’ Equity) ข้อมูลกำไรสุทธิหาได้จากงบกำไรขาดทุน ส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นหาได้จากงบแสดงฐานะการเงินของบริษัท ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือเว็บไซต์ของบริษัทนั้นๆ อย่างง่ายดาย

มีกลยุทธ์อะไรบ้างที่บริษัทสามารถใช้เพื่อเพิ่ม ROE ได้?

บริษัทสามารถเพิ่ม ROE ได้หลายวิธีตามหลัก DuPont Analysis:

  • เพิ่มอัตรากำไรสุทธิ: ลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต หรือขึ้นราคา
  • เพิ่มอัตราหมุนเวียนสินทรัพย์: บริหารจัดการสินค้าคงคลังให้ดีขึ้น หรือเพิ่มยอดขายจากสินทรัพย์ที่มีอยู่
  • เพิ่มตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้น: ใช้หนี้สินอย่างมีเหตุผลเพื่อลงทุนและสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าต้นทุนหนี้ (แต่ต้องระวังความเสี่ยง)

การวิเคราะห์ DuPont Analysis ช่วยให้เข้าใจ ROE ได้ลึกซึ้งขึ้นอย่างไร?

DuPont Analysis แตก ROE ออกเป็นสามส่วนคือ อัตรากำไรสุทธิ อัตราหมุนเวียนสินทรัพย์ และตัวคูณส่วนของผู้ถือหุ้น การทำเช่นนี้ช่วยให้นักลงทุนทราบว่า ROE ที่เปลี่ยนแปลงไปนั้นเกิดจากประสิทธิภาพการทำกำไร การบริหารสินทรัพย์ หรือการใช้หนี้สิน ซึ่งทำให้สามารถวิเคราะห์กลยุทธ์และจุดแข็งจุดอ่อนของบริษัทได้อย่างเจาะจงและมีประสิทธิภาพ

ROE เหมาะสมกับการวิเคราะห์หุ้นทุกประเภทหรือไม่?

ROE เป็นอัตราส่วนที่ดีสำหรับการวิเคราะห์หุ้นส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อจำกัดสำหรับบางประเภท เช่น:

  • **บริษัทที่เพิ่งเริ่มต้นหรือเติบโตสูง:** อาจมี ROE ต่ำในช่วงแรกเนื่องจากมีการลงทุนจำนวนมาก
  • **บริษัทที่มีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ:** ROE จะไม่สามารถใช้ได้
  • **อุตสาหกรรมบางประเภท:** เช่น ธุรกิจประกันภัยหรือธนาคาร อาจต้องพิจารณาอัตราส่วนเฉพาะทางอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย

ดังนั้น ควรใช้ ROE เป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการมองข้ามปัจจัยอื่นๆ

More From Author

adp คืออะไร? เปิดโลกพลังงานเซลล์: ทำไม ADP จึงสำคัญต่อทุกการเคลื่อนไหวในร่างกายคุณ

เศรษฐกิจตกต่ำ: รัฐบาลไทยควรใช้มาตรการทางการคลังอย่างไรให้ได้ผลจริง?

發佈留言

近期留言

尚無留言可供顯示。