เริ่มต้นทำความรู้จัก Pending Order: เครื่องมือจัดการการเทรดล่วงหน้า
ตลาดฟอเร็กซ์เคลื่อนไหวตลอด 24 ชั่วโมง ไม่หยุดพัก ทำให้การนั่งเฝ้าหน้าจอเพื่อจับจังหวะเข้าออเดอร์ที่ “ใช่” อาจเป็นเรื่องที่ทำไม่ได้จริงสำหรับนักเทรดส่วนใหญ่ โดยเฉพาะผู้ที่มีงานประจำหรือต้องดูแลภารกิจอื่นๆ ปัญหานี้เองที่ทำให้ Pending Order หรือ “คำสั่งล่วงหน้า” กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างแม่นยำ และให้ระบบดำเนินการแทนคุณทันทีที่เงื่อนไขตรงตามที่กำหนด
Pending Order คือคำสั่งที่คุณตั้งไว้กับโบรกเกอร์ เพื่อรอเปิดสถานะซื้อหรือขายในอนาคต เมื่อราคาสินทรัพย์เคลื่อนที่ไปถึงระดับเฉพาะเจาะจงที่คุณกำหนดไว้ จุดเด่นของเครื่องมือนี้คือช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการตัดสินใจด้วยอารมณ์ จัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาวินัยในการเทรด ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน หรือกำลังทำอะไร คำสั่งของคุณก็จะถูกดำเนินการทันทีที่ราคาแตะเป้าหมาย ทำให้ไม่พลาดโอกาสสำคัญในตลาด

คำสั่งประเภท Limit Order: การซื้อขายสวนแนวโน้ม (Reversal)
Limit Order คือกลยุทธ์สำหรับนักเทรดที่เชื่อว่าราคาจะ “กลับตัว” หลังจากแตะจุดสำคัญอย่างแนวรับหรือแนวต้าน โดยคุณจะตั้งคำสั่งซื้อหรือขายในระดับราคาที่ดีกว่าราคาปัจจุบัน เช่น ซื้อในราคาต่ำกว่า หรือขายในราคาสูงกว่า ซึ่งเป็นการหาจังหวะเข้าตลาดในจุดที่ได้เปรียบ
คำสั่งนี้เหมาะกับกลยุทธ์ที่อาศัยการย่อตัวหรือเด้งกลับ เช่น Reversal หรือ Pullback ที่คาดการณ์ว่าแนวโน้มปัจจุบันจะอ่อนแรงลงเมื่อถึงโซนสำคัญ และกลับตัวไปในทิศทางตรงข้าม
Sell Limit คืออะไร?
Sell Limit คือคำสั่งขายที่ตั้งไว้ที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคุณคาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปทดสอบแนวต้าน แล้วกลับตัวลงมาอีกครั้ง
ตัวอย่างสถานการณ์: สมมติว่า EUR/USD กำลังเคลื่อนที่อยู่ที่ 1.0850 คุณวิเคราะห์ว่าบริเวณ 1.0900 เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มว่าราคาจะไม่สามารถทะลุผ่านไปได้ คุณจึงตั้ง Sell Limit ที่ 1.0900 เมื่อราคาขยับขึ้นแตะจุดนี้ ระบบจะเปิดออเดอร์ขายให้อัตโนมัติ ทำให้คุณได้เข้าสู่ตำแหน่งในจุดที่ได้เปรียบและลดความเสี่ยงจากอารมณ์ที่อาจเกิดขึ้นหากคุณต้องเฝ้าหน้าจอเอง
Buy Limit คืออะไร?
Buy Limit คือคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน เหมาะกับสถานการณ์ที่คุณเชื่อว่าราคาจะย่อตัวลงมาที่แนวรับ แล้วเด้งกลับขึ้นไปใหม่
ตัวอย่างสถานการณ์: คุณสังเกตเห็นว่า GBP/USD ปัจจุบันอยู่ที่ 1.2700 และมีแนวรับแข็งที่ 1.2650 ซึ่งเคยต้านทานราคาไว้หลายครั้ง คุณจึงตั้ง Buy Limit ที่ 1.2650 เมื่อราคาปรับตัวลงมาถึงจุดนี้ คำสั่งจะถูกเปิดทันที ช่วยให้คุณได้ต้นทุนที่ดี และอยู่ในตำแหน่งเพื่อเก็บกำไรจากแรงดีดตัว

คำสั่งประเภท Stop Order: การซื้อขายตามแนวโน้ม (Breakout)
ในทางตรงกันข้ามกับ Limit Order คำสั่งประเภท Stop Order ถูกออกแบบมาสำหรับนักเทรดที่เชื่อว่าเมื่อราคาสามารถ “ทะลุ” แนวรับหรือแนวต้านได้แล้ว มันจะมีโมเมนตัมเพิ่มขึ้นและเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดียวกันอย่างรุนแรง ดังนั้นคุณจะตั้งคำสั่งซื้อหรือขายในระดับราคาที่ “แย่กว่า” ราคาปัจจุบัน เพื่อดักจับจังหวะการทะลุนั้น
คำสั่งนี้จึงเหมาะกับกลยุทธ์ Breakout หรือ Trend Following ที่เน้นการเข้าตลาดเมื่อแนวโน้มเริ่มชัดเจน และต้องการเกาะกระแสให้ทัน
Sell Stop คืออะไร?
Sell Stop คือคำสั่งขายที่ตั้งไว้ที่ราคาต่ำกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคุณเชื่อว่าหากราคาทะลุแนวรับลงมาแล้ว จะเกิดแรงขายเพิ่มเติมและแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อ
ตัวอย่างสถานการณ์: ราคาทองคำ (XAU/USD) ปัจจุบันอยู่ที่ $2,330 โดยมีแนวรับสำคัญที่ $2,320 คุณคาดว่าหากแนวรับนี้พัง ตลาดจะเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างต่อเนื่อง คุณจึงตั้ง Sell Stop ที่ $2,319 เมื่อราคาตกลงมาถึงระดับนี้ ระบบจะเปิดออเดอร์ขายให้ทันที ช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการเข้าตลาดตามโมเมนตัม
Buy Stop คืออะไร?
Buy Stop คือคำสั่งซื้อที่ตั้งไว้ที่ราคาสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ใช้เมื่อคุณคาดการณ์ว่าหากราคาสามารถทะลุแนวต้านได้ จะมีแรงซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ตัวอย่างสถานการณ์: USD/JPY อยู่ที่ 156.80 โดยมีแนวต้านแข็งที่ 157.00 คุณเชื่อว่าหากทะลุได้ จะมีแรงซื้อเข้ามาผลักดันราคาขึ้นต่อ คุณจึงตั้ง Buy Stop ที่ 157.10 เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะได้เข้าตลาดทันทีที่แนวโน้มขาขึ้นเริ่มชัดเจน
ตารางเปรียบเทียบชัดๆ: Limit Order vs. Stop Order
เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างคำสั่งทั้งสองประเภทอย่างชัดเจน ต่อไปนี้คือตารางสรุปเปรียบเทียบที่ครอบคลุมทุกมิติสำคัญ
มิติการเปรียบเทียบ | Limit Order | Stop Order |
---|---|---|
วัตถุประสงค์ | เข้าเทรดในราคาที่ดีกว่าราคาปัจจุบัน | เข้าเทรดเมื่อราคาทะลุจุดสำคัญเพื่อตามโมเมนตัม |
ตำแหน่งการตั้งราคา | Buy Limit: ต่ำกว่าราคาตลาด Sell Limit: สูงกว่าราคาตลาด |
Buy Stop: สูงกว่าราคาตลาด Sell Stop: ต่ำกว่าราคาตลาด |
สถานการณ์ที่เหมาะสม | คาดว่าราคาจะกลับตัวที่แนวรับ/แนวต้าน | คาดว่าราคาจะทะลุแนวรับ/แนวต้านแล้วไปต่อ |
ประเภทกลยุทธ์ | Reversal, Pullback, Swing Trading | Breakout, Trend Following, News Trading |

คำสั่งขั้นสูง: ทำความรู้จัก Buy Stop Limit และ Sell Stop Limit
นอกเหนือจากคำสั่งพื้นฐานทั้งสี่ประเภท แพลตฟอร์มเทรดส่วนใหญ่ยังรองรับคำสั่งผสมที่มีความแม่นยำสูงกว่าอย่าง Stop Limit คำสั่งนี้รวมจุดเด่นของ Stop Order และ Limit Order เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้นักเทรดสามารถควบคุมราคาเปิดออเดอร์ได้แม้ในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อต้องรับมือกับ Slippage หรือการได้ราคาที่ต่างจากที่คาดไว้
หลักการทำงานของ Stop Limit:
คำสั่งนี้ทำงานใน 2 ขั้นตอน ดังนี้
1. ราคา Stop (Stop Price): เป็นระดับราคา “กระตุ้น” เมื่อราคาเคลื่อนที่มาถึงจุดนี้ ระบบจะไม่เปิดออเดอร์ทันที แต่จะเปลี่ยนเป็นส่ง คำสั่ง Limit เข้าสู่ตลาด
2. ราคา Limit (Limit Price): เป็นราคาที่คุณยอมรับได้สูงสุด (สำหรับ Buy) หรือต่ำสุด (สำหรับ Sell) ที่จะเข้าเทรด คำสั่งจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อราคาอยู่ที่ระดับนี้หรือดีกว่า
ตัวอย่าง Buy Stop Limit: สมมติราคา USD/CHF อยู่ที่ 1.2000 คุณต้องการซื้อหากทะลุแนวต้านที่ 1.2050 แต่ไม่ต้องการซื้อเกิน 1.2060 เนื่องจากกังวลว่าตลาดจะวิ่งแรงเกินไป คุณตั้งค่าดังนี้:
- Stop Price: 1.2050 (กระตุ้นให้ส่งคำสั่ง Buy Limit)
- Limit Price: 1.2060 (จำกัดราคาซื้อไม่ให้สูงเกินไป)
ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถเข้าเทรดได้เฉพาะเมื่อราคาพุ่งผ่าน 1.2050 แล้วไม่พุ่งเกิน 1.2060 ซึ่งช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงจากการได้ราคาที่ไม่เหมาะสม
กลยุทธ์การเลือกใช้: ควรใช้คำสั่งประเภทไหนในสถานการณ์ใด?
การเลือกใช้คำสั่งให้ตรงกับสถานการณ์และกลยุทธ์เทรดของคุณคือหัวใจของการบริหารความเสี่ยงและการเพิ่มโอกาสทำกำไร นี่คือแนวทางปฏิบัติที่นักเทรดมืออาชีพมักใช้
- เมื่อต้องการเทรดตามข่าว (News Trading): ข่าวเศรษฐกิจสำคัญมักทำให้ราคาผันผวนรุนแรงและเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การใช้ Stop Order (Buy Stop/Sell Stop) เพื่อจับโมเมนตัมที่เกิดขึ้นทันทีหลังข่าวออก ถือเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะกับโบรกเกอร์อย่าง Moneta Markets ที่มีสเปรดต่ำและ Execution เร็ว ช่วยให้คุณไม่พลาดจังหวะสำคัญ
- เมื่อคาดว่าราคาจะกลับตัวที่แนวรับ-แนวต้านสำคัญ: หากคุณวิเคราะห์กราฟและพบว่ามีโซนที่เคยต้านทานราคาหลายครั้ง การใช้ Limit Order (Buy Limit/Sell Limit) จะช่วยให้คุณได้เข้าตลาดในจุดที่ดี และลดต้นทุน
- เมื่อต้องการเทรดในกรอบราคา (Range Trading): ในตลาดที่เคลื่อนไหวแบบ Sideways คุณสามารถตั้ง Sell Limit ที่แนวต้าน และ Buy Limit ที่แนวรับ เพื่อทำกำไรจากความผันผวนในกรอบ
- เมื่อต้องการยืนยันการ Breakout และควบคุมราคา: หากคุณต้องการเข้าเทรดกลยุทธ์ Breakout แต่กังวลเรื่อง Slippage การใช้ Stop Limit Order จะปลอดภัยกว่า Stop Order ทั่วไป เพราะช่วยให้คุณมั่นใจว่าจะไม่เข้าตลาดในราคาที่แย่เกินไป ตามที่ผู้เชี่ยวชาญจาก Babypips ได้ชี้แจงไว้
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการตั้ง Pending Order ที่เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง
แม้ Pending Order จะเป็นเครื่องมือทรงพลัง แต่หากใช้งานผิดวิธี ก็อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้ ต่อไปนี้คือข้อผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
- ตั้งราคาใกล้เกินไปกับราคาปัจจุบัน: การตั้งราคา Pending Order ชิดเกินไปอาจทำให้คำสั่งเปิดโดย “สัญญาณรบกวน” หรือความผันผวนระยะสั้น แทนที่จะเป็นการเคลื่อนไหวของแนวโน้มจริง ส่งผลให้คุณติดออเดอร์ในจุดที่ไม่เหมาะสม
- สับสนระหว่าง Stop Order กับ Stop Loss: แม้ชื่อจะคล้ายกัน แต่หน้าที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง Stop Order ใช้เพื่อ “เปิด” สถานะ ในขณะที่ Stop Loss ใช้เพื่อ “ปิด” สถานะเพื่อจำกัดขาดทุน การเข้าใจผิดอาจทำให้แผนการจัดการความเสี่ยงล้มเหลว
- ลืมตั้ง Stop Loss และ Take Profit: การตั้งจุดเข้าตลาดด้วย Pending Order เป็นเพียงครึ่งเดียวของแผน คุณต้องไม่ลืมตั้ง Stop Loss เพื่อลดความเสี่ยง และ Take Profit เพื่อล็อคกำไร การละเลยขั้นตอนนี้เท่ากับการเทรดโดยไม่มีแผน
- ไม่พิจารณา Spread ของโบรกเกอร์: Spread คือส่วนต่างระหว่างราคา Bid และ Ask คำสั่งซื้อจะใช้ราคา Ask ส่วนคำสั่งขายใช้ราคา Bid ดังนั้นคุณต้องเผื่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะในคู่เงินที่มี Spread กว้าง ไม่เช่นนั้น แม้กราฟจะดูเหมือนแตะจุดที่คุณตั้งไว้ คำสั่งก็อาจไม่ถูกเปิด ข้อมูลเพิ่มเติมสามารถศึกษาได้จาก CMC Markets
สรุป: เลือกใช้ Pending Order อย่างชาญฉลาดเพื่อยกระดับการเทรด
การเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความแตกต่างของคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex ไม่ว่าจะเป็น Buy Limit, Sell Limit, Buy Stop, Sell Stop หรือคำสั่งขั้นสูงอย่าง Stop Limit คือพื้นฐานสำคัญที่นักเทรดทุกคนควรครอบครอง การเลือกใช้ Limit Order สำหรับกลยุทธ์ Reversal และ Stop Order สำหรับกลยุทธ์ Breakout จะช่วยให้คุณวางแผนการเทรดได้อย่างมีระบบและแม่นยำยิ่งขึ้น
Pending Order ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเวลา แต่ยังเป็นเกราะป้องกันอารมณ์ ช่วยให้คุณยึดมั่นในแผนที่วางไว้ ไม่ว่าจะเกิดความตื่นเต้นหรือความกลัวในตลาด เมื่อคุณสามารถใช้คำสั่งเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสมและมีวินัย มันจะกลายเป็นเครื่องมือที่ยกระดับการเทรดของคุณให้ใกล้เคียงระดับมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
Sell Limit กับ Sell Stop ต่างกันอย่างไร?
Sell Limit คือการตั้งขายที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน โดยคาดว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปแล้วกลับตัวลงมา (กลยุทธ์ Reversal) ส่วน Sell Stop คือการตั้งขายที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน โดยคาดว่าถ้าราคาทะลุแนวรับลงไปแล้วจะลงต่อไปอีก (กลยุทธ์ Breakout)
Buy Limit และ Buy Stop มีความแตกต่างที่สำคัญอย่างไร?
Buy Limit คือการตั้งซื้อที่ราคาต่ำกว่าราคาปัจจุบัน โดยคาดว่าราคาจะย่อตัวลงมาแล้วกลับตัวขึ้น (กลยุทธ์ Reversal) ในขณะที่ Buy Stop คือการตั้งซื้อที่ราคาสูงกว่าราคาปัจจุบัน โดยคาดว่าถ้าราคาทะลุแนวต้านขึ้นไปแล้วจะขึ้นต่อไปอีก (กลยุทธ์ Breakout)
Sell Stop Limit คืออะไร และมีวิธีการทำงานแบบไหน?
Sell Stop Limit เป็นคำสั่ง 2 ขั้นตอน คือ:
- เมื่อราคาตลาดลงมาถึง ราคา Stop (Stop Price) ที่ตั้งไว้ ระบบจะส่งคำสั่ง Sell Limit เข้าไปรอ
- ออเดอร์ขายจะถูกเปิดก็ต่อเมื่อราคาตลาดอยู่ที่ระดับ ราคา Limit (Limit Price) ที่ตั้งไว้หรือสูงกว่าเท่านั้น
ใช้เพื่อควบคุมราคาขายไม่ให้ต่ำเกินไปหลังเกิดการ Breakout ลง
สถานการณ์ไหนที่ควรใช้คำสั่ง Sell Stop?
ควรใช้ Sell Stop เมื่อคุณคาดการณ์ว่าราคาจะเกิดการ “Breakout” หรือทะลุแนวรับที่สำคัญลงไป และเชื่อว่าแนวโน้มขาลงจะดำเนินต่อไปอย่างแข็งแกร่ง เหมาะสำหรับกลยุทธ์การเทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) หรือการเทรดตามข่าวที่ส่งผลลบต่อสินทรัพย์นั้นๆ
Buy Stop Limit คืออะไร และเหมาะกับกลยุทธ์แบบใด?
Buy Stop Limit คือคำสั่งที่เมื่อราคาขึ้นไปถึง ราคา Stop ที่กำหนด ระบบจะตั้งคำสั่ง Buy Limit รอไว้ และจะเปิดออเดอร์ซื้อก็ต่อเมื่อราคาไม่เกิน ราคา Limit ที่กำหนด เหมาะกับกลยุทธ์ Breakout ที่ต้องการควบคุมต้นทุนและป้องกันความเสี่ยงจาก Slippage หรือการเข้าซื้อในราคาที่สูงเกินไปในช่วงที่ตลาดผันผวน
คำสั่ง Buy Stop ควรใช้ตอนไหนถึงจะได้เปรียบที่สุด?
ควรใช้ Buy Stop เมื่อคุณเห็นว่าราคากำลังเข้าใกล้แนวต้านที่แข็งแกร่ง และวิเคราะห์แล้วว่าหากราคาสามารถทะลุแนวต้านนั้นไปได้ จะมีแรงซื้อเข้ามาอย่างมหาศาลและผลักดันให้ราคาพุ่งขึ้นไปต่ออย่างรวดเร็ว การตั้ง Buy Stop ดักไว้เหนือแนวต้านจะช่วยให้คุณสามารถเกาะกระแสโมเมนตัมขาขึ้นนั้นได้ทันท่วงที
เราสามารถยกเลิก Pending Order ที่ตั้งไว้ล่วงหน้าได้หรือไม่?
ได้ คุณสามารถยกเลิกหรือแก้ไข Pending Order ได้ตลอดเวลา ตราบใดที่คำสั่งนั้นยังไม่ถูกเปิดใช้งาน (ยังไม่ถูก Trigger) หากมุมมองการเทรดของคุณเปลี่ยนไปหรือสถานการณ์ตลาดไม่เป็นไปตามที่คาด คุณควรเข้าไปจัดการคำสั่งที่ตั้งค้างไว้อยู่เสมอ
การตั้ง Pending Order มีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมจากคำสั่งปกติหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ไม่มีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมสำหรับการ “ตั้ง” Pending Order คุณจะถูกคิดค่าใช้จ่ายตามปกติ (เช่น Spread หรือ Commission) ก็ต่อเมื่อคำสั่งของคุณถูกเปิดใช้งานและกลายเป็นสถานะที่เปิดอยู่ในตลาดแล้วเท่านั้น
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าตั้งราคา Limit หรือ Stop แล้วราคาไม่เคยไปถึงจุดนั้น?
หากราคาตลาดไม่เคยเคลื่อนที่ไปถึงระดับราคาที่คุณตั้ง Pending Order ไว้ คำสั่งนั้นก็จะไม่มีวันถูกเปิดใช้งาน และจะค้างอยู่ในระบบไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะยกเลิกเอง หรือจนกว่าจะถึงวันหมดอายุ (Expiry Date) ที่คุณอาจตั้งค่าไว้ (หากแพลตฟอร์มมีฟังก์ชันนี้)
ระหว่าง Limit Order กับ Stop Order แบบไหนมีความเสี่ยงมากกว่ากัน?
ทั้งสองประเภทมีความเสี่ยงในรูปแบบที่ต่างกัน Limit Order มีความเสี่ยงที่จะ “สวนเทรนด์” หากการกลับตัวไม่เกิดขึ้นจริง (เช่น ตั้ง Buy Limit แต่ราคาทะลุแนวรับลงไปเลย) ส่วน Stop Order มีความเสี่ยงจาก “False Breakout” หรือการทะลุหลอก ที่ราคาพุ่งทะลุแนวสำคัญไปเพียงเล็กน้อยแล้วกลับมาทิศทางเดิม ทำให้คุณติดออเดอร์ในราคาที่ไม่ดี การจัดการความเสี่ยงด้วย Stop Loss จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคำสั่งทุกประเภท